น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศมีการเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐช่วงไตรมาส 2/2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจในประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวโดยรวมที่ยังขยายตัว ล่าสุดดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิ.ย. 2561 ขยายตัว 4.7% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 14 ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2561 ดัชนี MPI ขยายตัว 3.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับที่ก่อนหน้านี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพี ปี 2561 เป็นขยายตัว 4.5% จากเดิม 4.2% ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสลับเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.ค.

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านลบที่ยังคงกดดันการลงทุนอยู่ อาทิ ปัจจัยทางการเมืองสหรัฐเริ่มมีความไม่แน่นอนอีกครั้งหลังประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ชัตดาวน์หน่วยงานรัฐ หากสมาชิกพรรคเดโมแครตไม่ร่วมมือโหวตนโยบายตรวจคนเข้าเมือง และจีนรายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 51.2 ลดลงจากระดับ 51.5 ในเดือนมิ.ย. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค.อยู่ที่ระดับ 54.0 ลดลงจากระดับ 55.0 ในเดือนมิ.ย. บ่งชี้ถึงภาวะการขยายตัวที่ชะลอตัว

ส่วนปัจจัยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. การเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค. ของสหรัฐ อียู และจีน วันที่ 2 ส.ค. สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ค. การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนมิ.ย. และสต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในช่วงเช้า

ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งธนาคารกลางญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานการประชุม และการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือนก.ค. ของสหรัฐ อียู และจีน อีกทั้งสหรัฐ จะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือนก.ค. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนมิ.ย. ตัวเลขดุลการค้าเดือนมิ.ย. ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. และ ดัชนีภาคบริการเดือนก.ค. ส่วนอียู เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดค้าปลีก เดือนมิ.ย.

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้น มีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 1,685-1,735 จุด โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น ดังนี้ กลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP, SPRC, IRPC จากอานิสงส์ค่าการกลั่นเริ่มปรับตัวขึ้น และหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2561 เติบโตดี BANPU, BPP, IVL, JUBILE, DELTA, SVI, CPF LH, TPIPP, WHAUP, ROJNA รวมทั้งหุ้น High Beta, High Dividend เช่น TPIPP, HTC, IRPC, UTP, TKN, SEAFCO, WICE, ORI, RS

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สัปดาห์นี้มีการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ซึ่งต่างถูกจับตาว่าจะมีการดำเนินมาตรการอย่างไรต่อไป โดย Fed ถูกคาดหวังจากตลาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องโดยไม่สนใจแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วน BOJ ถูกคาดการณ์ว่าอาจส่งสัญญาณปรับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อตอบสนองต่อการไหลของเงินทุนที่ถูกดึงออกจากระบบเศรษฐกิจโลกผ่าน QE Tapering ของ Fed ขณะที่ BoE ถูกกดดันจากประเด็น Brexit ที่จำเป็นต้องตอบสนองเชิงนโยบายล่วงหน้าก่อนที่รัฐบาลอังกฤษจะเสร็จสิ้นการเจรจากับสหภาพยุโรป

ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามความคืบหน้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากคาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินไปจนถึงสัปดาห์หน้าก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น โดยมองว่าถ้าหากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 1,200 ดอลลาร์ หรือร่วงลงไปต่ำกว่าระดับ 1,200 ดอลลาร์ แต่ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเป็นโอกาสให้พอร์ตระยะกลางถึงยาวเข้าทยอยซื้อสะสมเพื่อเล่นรอบหรือถือลงทุน ส่วนพอร์ตระยะสั้น แนะนำให้รอจังหวะ follow เมื่อ breakout จากกรอบ 1,210-1,230 ดอลลาร์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน