น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีได้ปัจจัยหนุนจากในประเทศหนุนดัชนี อาทิ การเร่งเสนอขอมติประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการเปิดประมูลโครงการภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า สำหรับโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน (Action Plan) ได้แก่ รถไฟทางคู่เฟส 2 รวม 9 เส้นทาง วงเงินราว 4 แสนล้านบาท ครม.อนุมัติแล้ว 14 เส้นทาง ได้แก่ โครงการถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 8.5 หมื่นล้านบาทไปแล้ว เหลืออีก 8 เส้นทางอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

อีกทั้งรัฐบาลเตรียมออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 แสนล้านรับผลกระทบสงครามการค้า ของขวัญปีใหม่ประชาชน พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เร่งรัดลงทุนปี 2562 ที่จะเน้นโครงการใหญ่ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก และกิจการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในประเทศไทย และการไหลเข้าของเม็ดเงินกองทุน LTF ช่วงปลายปีเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ได้

ส่วนปัจจัยด้านลบที่ยังคงกดดันการลงทุน ยังคงเป็นปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังยืดเยื้อ หลังจากเวทีการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ไม่มีแถลงการณ์ร่วมเนื่องจากประเด็นขัดแย้งทางการค้าสหรัฐ-จีน ทำให้การพบปะเจรจานอกรอบระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐและประธานาธิบดีจีนในการประชุมกลุ่ม G20 อาจไม่บรรลุผลสำเร็จ และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ จะกระทบ Fund Flow ไหลออก ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 2.79 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ล่าสุดทางสภาพัฒน์รายงานตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส 3/2561 ขยายตัว 3.3% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 4.6% ดังนั้นคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2561 ขยายตัว 4.2% ซึ่งเป็นกรอบล่างของ Consensus และในปี 2562 เติบโต 3.5-4.5%

สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันที่ 20 พ.ย. สหรัฐฯ เปิดเผย ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนต.ค. วันที่ 21 พ.ย. กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า สหรัฐฯ เปิดเผย ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านมือสองเดือน และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันที่ 22 พ.ย. อียู เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนพ.ย. วันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. กำหนดประชุมกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งปธน.สหรัฐฯและปธน.จีนจะพบปะกันนอกรอบ และในวันที่ 18-19 ธ.ค. กำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ผันผวนในกรอบ 1,620-1,660 จุด โดยแนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากครม.ออกมาตรกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม ได้แก่ AOT, CENTEL, ERW รวมถึงหุ้นที่ได้อานิสงส์จาก MSCI ประกาศปรับการคำนวณดัชนีรอบกลางปีซึ่งจะมีผลวันที่ 30 พ.ย. 2561 ดัชนี Global Standard เช่น GULF และ MTC ส่วนดัชนี Small Cap หุ้นเข้า ได้แก่ CBG, MBK และ PRINC ส่วนหุ้นที่นำออกจากดัชนี Small Cap ได้แก่ CCET, DDD, ICHI, MONO, VNG

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำถูกกดดันจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าหลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.00-2.25% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดมีโอกาสมากกว่า 90% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมธ.ค. นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณของอิตาลี

อย่างไรก็ตาม ทองคำมีแรงซื้อเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสถานการณ์การเมืองในอังกฤษเผชิญกับความไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากการที่รัฐมนตรีในรัฐบาลของนางเทเรซา เมย์ ลาออกเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ ได้ยื่นต่อ EU ในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากการเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น บวกกับในช่วงที่ผ่านมาราคาทองได้ปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยลบมากแล้วก่อนหน้านี้ และคาดว่ากรอบการแกว่งตัวของราคาทองคำที่ 1,200-1,250 ดอลลาร์/ออนซ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน