น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยบวกจาก ภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯยุติชั่วคราวให้มีเวลาต่อลมหายใจไปจนถึง 15 ก.พ. ประกอบกับการมีกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเป็นสัญญาณที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้

รวมถึงโครงการเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ได้แก่ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ดิจิทัล การแพทย์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอากาศยาน และ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม (First S-Curve) ได้แก่ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ท่องเที่ยว และแปรรูปอาหาร

ส่วนปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นในช่วงนี้ อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังมีความไม่แน่นอน หากไม่สามารถตกลงกันได้สหรัฐฯก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเป็น 25% จากเดิม 10% ขณะที่ S&P เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้รับความเสียหายอย่างน้อย 6 พันล้านดอลลาร์ ในระหว่างการปิดหน่วยงานรัฐบาลส่วนหรือภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบของ BREXIT

ขณะที่ปัจจัยที่ยังคงจับตาต่อคือ วันที่ 29-30 ม.ค. กำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 30 ม.ค. สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนธ.ค. สต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย (เช้าวันที่ 31 ม.ค.) และในวันที่ 30-31 ม.ค. นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเดินทางเยือนสหรัฐเพื่อเจรจาการค้ากับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และตลาดคาดหวังที่จะยุติข้อพิพาททางการค้า

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน คาดจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,600-1,650 จุด แนะลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง ได้แก่ VGI, PLANB, MACO, CPALL, MAKRO, BJC, TKS รวมถึงหุ้นที่ได้อานิสงส์มาตรการคืน VAT 5% กระตุ้นช็อปช่วงตรุษจีน แนะนำ CPALL, MAKRO, BJC และหุ้นได้ประโยชน์จากขยายเวลาให้ฟรีค่าธรรมเนียม VOA แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 30 เม.ย. 2562 แนะนำ AOT, CENTEL, ERW, MINT

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สหรัฐฯยุติ government shutdown ครั้งยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยยังไม่มีข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมทั้งจากรีพับลิกันและเดโมแครต ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่ปัญหาดังกล่าวจะกลับมาอีกครั้งหลังวันที่ 15 ก.พ. ที่เป็นเส้นตายครั้งถัดไป ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ เงินสกุลหลักอื่นๆ จึงแข็งค่าขึ้นทันที

นอกจากนี้ ยังมีเงินบางส่วนไหลกลับเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัย แต่แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายแค่ชั่วคราว ในระยะสั้นก็ถือเป็นข่าวดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง จึงมองว่าเงินบางส่วนที่เข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นมีโอกาสไหลออกได้ทุกเมื่อ ถ้ามีปัจจัยลบเพิ่มเติม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้า

ดังนั้น ราคาทองคำในระยะสั้นจึงมีโอกาสจะหลุดลงมาต่ำกว่า 1,300 ดอลลาร์ แต่ถ้าการเก็งกำไรในตลาดหุ้นลดลง จะมีเงินทุนเข้ามาหนุนให้ราคาสามารถยืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการอ่อนลงของเงินดอลลาร์ ทำให้ราคาทองคำในประเทศยังคงถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อไป โอกาสจะทะลุขึ้นไปเหนือ 19,700 บาท ยังต้องรอให้ราคาตลาดโลกยืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์ ได้อย่างมั่นคงเสียก่อน

ทั้งนี้ แนะนำให้เล่นเก็งกำไรโดยอิงราคาในรูปสกุลเงินดอลลาร์เป็นหลักสำหรับพอร์ตระยะสั้น โดยเน้นปิดทำกำไรและตัดขาดทุนเร็ว ส่วนพอร์ตระยะกลางยังคงเน้นตั้งรับเมื่อราคาอ่อนตัว และอาจพิจารณาเข้าซื้อมากขึ้นเมื่อเงินบาทส่งสัญญาณอ่อนตัว คาดราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบ 1,290-1,320 ดอลลาร์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน