นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (27-31 พ.ค. 2562) คือ การเจรจาการค้าของสหรัฐกับจีนที่ยังเดินหน้าเจรจากันอยู่ โดยคาดการณ์ว่าผู้นำของทั้ง 2 ประเทศอาจจะพบปะกันตามกำหนดการเดิมในวันที่ 28 มิ.ย. แต่ในช่วงระหว่างนี้ อาจจะมีการเจรจาต่อรองหรือตอบโต้กันอย่างเข้มข้น ขณะที่นักลงทุนก็เริ่มกังวลผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ เพราะทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบประมาณ 0.6% (Bloomberg) เช่นเดียวกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ล่าสุดประเมินว่า GDP โลกในปีนี้จะเติบโตเพียง 3.5% ถือว่าเป็นตัวเลขนี้มีนัยค่อนข้างมาก และยังกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอีเล็คทรอนิคที่ขายสินค้าให้จีน, ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมไปถึงกลุ่มท่องเที่ยว

อีกประเด็นสำคัญคือการเมืองในประเทศ นักลงทุนกำลังรอดูการจัดตั้งรัฐบาลหลังจากมีการเลือกประธานสภาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลของพรรครวมต่างๆ ซึ่งคาดว่า พรรคพลังประชารัฐ จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ประมาณ 253-260 เสียง ซึ่งไม่ทิ่งห่างพรรคฝ่ายค้านมาก จึงทำให้ตลาดหุ้นอาจจะไม่ปรับตัวขึ้นแรงมากนัก เพราะสะท้อนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่ไม่สูง

โดยภาพรวมในสัปดาห์นี้คาดว่า SET Index จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,600-1,630 จุด ประเด็นเรื่องสงครามการค้าจะทำตลาดผันผวนไปอีกระยะ แต่การเมืองของไทยที่มีความชัดเจนในการรัฐบาลใหม่จะเป็นตัวหนุนตลาดไว้ไม่ให้ลงแรง

ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ KTBST จึงแนะนำการเข้าลงทุนโดยเน้นหุ้นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่มีเสี่ยงต่ำ (Defensive) เช่น โรงไฟฟ้าและโรงพยาบาล และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (REIT & Property Fund) และแนะนำถือเงินสด 30% เพื่อดูทิศทางหุ้นหลังผ่านการปรับสัดส่วน (Rebalancing) ของดัชนี MSCI ในวันที่ 28 ด้วย นอกจากนี้ KTBST ได้มีการจัดพอร์ตหุ้นเพื่อรับความผันผวนและความเสี่ยงขาลงไว้ โดยแนะนำถือเงิน 30% และเพิ่มสัดส่วนลงทุนใน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์, โรงไฟฟ้าและโรงพยาบาล เข้ามาในพอร์ต ได้แก่ CPNREIT, RATCH, AEONTS, BEM, CPALL และ CPF

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน