นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ เปิดเผยในงานสัมมนา TISCO Monthly GURU Updates ว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้อยู่ใกล้กับแนวรับที่บริษัทได้ประเมินไว้สำหรับภาวะหุ้นไทยในเดือนส.ค. โดยให้แนวรับที่ 1,640-1,660 จุด และมีแนวต้านที่ 1,710-1,730 จุด แต่สถานการณ์ตลาดในขณะนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น เนื่องจากยังมีความกังวลปัญหาสหรัฐ กรณีจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% ในวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากประกาศใช้จริงจะส่งผลลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบกับนักลงทุนคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยจะออกมาลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเรื่องการปรับน้ำหนักดัชนี MSCI Emerging Market ที่เตรียมเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน A-Share จาก 5% เป็น 15% ทำให้ต้องปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลง และคาดว่าจะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากหุ้นไทยประมาณ 9,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ในเดือนส.ค.นี้ บริษัทยังประเมินว่าเงินทุนต่างชาติจะยังคงไหลเข้า หลังจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือประเทศไทยเป็นบวก อนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของไทยลดลงต่อเนื่องต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ทำให้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมามีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 600,000 ล้านบาท อีกทั้งในเดือนก.ย.นี้ จะมีปัจจัยหนุนจากการประชุมธนาคารกลางสำคัญต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งคาดว่าแต่ละแห่งจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หรืออาจจะใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในเดือนส.ค.นี้ แนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรายตัว เน้นที่หุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กที่ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด และหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดี จ่ายปันผลสูง โดยมีหุ้นเด่นในเดือนส.ค. คือ BCP, CK, HANA, PLANB, PYLON, ROJNA และ TPIPP สำหรับประเด็นที่ควรจับตามองจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีคือ เศรษฐกิจทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ ถึงแม้ว่าขณะนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนปีหน้านักลงทุนทั่วโลกคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยลงไม่ได้รับประกันว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นเสมอไป เพราะในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เฟดปรับลดดอกเบี้ยลงไปทั้งสิ้น 9 ครั้ง มีเพียง 4 ครั้ง ที่เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ต่อ และอีก 5 ครั้ง เศรษฐกิจกลับชะลอตัวลงและเข้าสู่ภาวะถดถอยในที่สุด

“ตัวชี้วัดหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาพูดถึงเศรษฐกิจถดถอยคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของสหรัฐ อยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ของสหรัฐ มากว่า 2 เดือนแล้ว แสดงให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองว่าเศรษฐกิจระยะยาวจะมีปัญหา ทั้งนี้ หากปีหน้าเกิดเศรษฐกิจถดถอยจริง ตัวเลขเศรษฐกิจจะเริ่มโตลดลงอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ซึ่งในกรณีเลวร้าย คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดใช้เวลา 2-3 ปี ไปอยู่ที่ 1,400-1,200 จุด หรือลดลงประมาณ 500 จุด จากดัชนีปิดปี 2562 ที่ 1,750 จุด หากเป็นเช่นนั้นแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ ซึ่งมองว่าปีนี้ราคาทองคำจะปิดปีที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์” นายวิวัฒน์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน