น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท ตามที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมครม. เศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว การช่วยเหลือเกษตรกร การดูแลค่าครองชีพ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งแต่ละมาตรการจะค่อยๆ ทยอยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่เดือนก.ย.เป็นต้นไป ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากมีเม็ดเงินอัดฉีดกระจายลงไปในทุกๆ ภาคส่วน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

โดยฝ่ายวิจัย ประเมินว่า จากมตราการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของภาครัฐในครั้งนี้ ทั้งในส่วนของการใช้จ่ายในด้านอาหาร เครื่องดื่ม ค่าที่พักรวมถึงบริการต่างๆ ค่าซื้อสินค้าท้องถิ่น ค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในท้องถิ่นนั้น เช่น สปา การเช่าพาหนะ ค่าบริการนำเที่ยวในพื้นที่ทั่วประเทศ ถือเป็นการกระจายเม็ดเงินไปในระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มีการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนมากขึ้น โดยเฉพราะในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ GDP เติบโตถึงระดับ 3% ตามเป้าหมายของรัฐบาล

ดังนั้นหากประเมินหุ้นที่ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “ชิม ช็อป ใช้” ดังกล่าว มองว่าหุ้น TNP ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะเป็นประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 25 สาขา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา รองลงมาเป็นหุ้น ASAP ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรถยนต์ให้เช่า ซึ่งจะช่วยให้มีการเช่ารถเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีรถรองรับให้บริการถึง 6,700 คัน

ส่วน SPA จัดเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ “ชิม ช็อป ใช้” ในครั้งนี้เพราะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านสปาเพื่อสุขภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสปา ซึ่งมีการให้บริการในหลายระดับตั้งแต่ระดับ 2ดาวไปถึง 5 ดาว รวมทั้ง ERW ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรมหลายระดับราคารวมทั้งโรงแรมราคาประหยัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ

สำหรับภาพรวมการลงทุนในขณะนี้ ทางฝ่ายวิจัย มองว่ายังคงแกว่งตัวในลักษณะ Sideway โดยให้กรอบดัชนี 1,660-1,690 จุด เนื่องจากยังคงถูกกดดันจากปัจจัยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ม็อบฮ่องกงที่ยังคงชุมนุมต่อ เพื่อกดดันให้ทางการทำตามข้อเรียกร้องที่เหลือ นอกจากนี้ ยังมีการรายงานตัวเลข GDP ของญี่ปุ่น ในไตรมาส 2/2562 ที่ขยายตัว 1.3% ลดลงจากประมาณการเบื้องต้นที่ 1.8% แสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัว ขณะเดียวกันยังมีประเด็นที่น่าจับตา กรณีที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดประชุมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 ก.ย.นี้ รวมถึงปัจจัยที่จีนจะเปิดเผยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวน อียู เปิดเผยดุลการค้าเดือนก.ค.ที่จะประกาศออกมาในวันที่ 13 ก.ย.นี้ ประกอบกับกรณีที่สหรัฐ จะเปิดเผยยอดค้าปลีก ราคานำเข้าและส่งออก ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้น และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ ในวันที่ 16 ก.ย.นี้ และปิดท้าย การประชุมนโนยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่จะเกิดขึ้น ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะเข้ามามีอิทธิพลต่อภาคการลงทุน

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1,500-1,535 ดอลลาร์ หรือ 21,850-22,410 บาท ก่อนธนาคารกลางสหรัฐจะมีการประชุมในสัปดาห์หน้าช่วงวันที่ 17-18 ก.ย. (คาดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ 2.00%) ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำในระยะกลาง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน