นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวในงาน Hot Issue ครั้งที่ 4 ปี 62 “กลยุทธ์ลงทุนช่วงเปลี่ยนผ่าน LTF เป็น SSF” ว่า เบื้องต้นมองว่าอาจจะส่งผลให้เม็ดเงินหายไปจากตลาดทุนอย่างน้อย 2 หมื่นล้านบาทต่อปี จากปกติเม็ดเงิน LTF (กองทุนรวมหุ้นระยะยาว : Long-Term Equity Fund) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท เนื่องกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund) หรือ SSF ที่ออกมาใหม่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การลงทุนในตลาดทุนมากนัก ไม่เหมือนกับ หรือ LTF ที่บังคับให้ลงทุนหุ้นไทยอย่างน้อย 65% แต่กองทุน SSF จะเป็นการออมในระยะที่ยาวขึ้นกว่าเดิม หรือ 10 ปี และยังไม่จำกัดในแง่การลงทุนในหุ้น โดยสามารถลงทุนได้ทุกประเภท ส่วนจุดเด่น คือ การนำไปใช้ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีสูงสุด 2 แสนบาท ทำให้ตอบโจทย์กับนักออมเงินรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เมื่อเทียบกับ LTF จะตอบโจทย์ผู้ลงทุนโดยตรงหรือผู้มีฐานรายได้สูง

ดังนั้นจะคาดหวังว่าเงิน SSF จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้ 100% แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเกิดใหม่หลายๆ ประเทศในขณะนี้มี ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ หรือตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นจึงมองเป็นโอกาสสำหรับกองทุนที่เตรียมจะออกกองทุนหุ้นไทยในปีหน้า มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เนื่องจากไม่บ่อยนักที่จะเห็นหุ้นปรับตัวลง อย่าง หุ้นปิโตเคมี, โรงกลั่น, น้ำมัน, พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ที่ปรับตัวลงมาถูกที่สุดในรอบ 10 ปี รวมถึงยังมองเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เห็นกองทุนดังกล่าวออกมาแล้วมีการปรับน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น มากกว่ากองทุน RMF รูปแบบเดิม ที่มีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน ตราสารหนี้ เป็นต้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2563 แนะนำลงทุนในกองทุนที่มีการจัดกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งจะพบว่าผลตอบแทนในแต่ละกลุ่มปรับตัวขึ้นมากกว่าที่จะดูที่ดัชนีตลาด เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า ถ้ากองทุนไหนที่มีลักษณะการลงทุนในหุ้นชุดดังกล่าว ผลตอบแทนก็จะชนะตลาด ขณะเดียวกันหุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ที่ถูกขายหุ้นออกมาค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มปิโตเคมี กลุ่มโรงกลั่น และหุ้นที่เชื่อมโยงกับการส่งออก ที่ราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ทำให้มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้บ้าง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน