นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากความไม่แน่นอนต่างๆ ที่จะมีมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ลงทุนและผู้ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต้องพิจารณาให้มากขึ้นคือวัตถุประสงค์ของการลงทุนและระดมทุนนั้นคืออะไร และจะปิดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีใดบ้าง ซึ่งในแง่นักลงทุนแนะนำ ให้กระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ต้องตั้งวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือระดมทุนในระยะสั้น กลาง ยาว ซึ่งมีกลยุทธ์ในการลงทุนที่แตกต่างกันไป หรือใช้สินทรัพย์และใช้เครื่องมือการระดมทุนที่แตกต่างกันไป โดยแนะนำให้มีที่ปรึกษาการลงทุน และที่ปรึกษาการระดมทุน เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูล กลยุทธ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่มีความหลากหลายมากในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่ได้วางไว้

อย่างไรก็ดี การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนต้องมี 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ การปิดรวามเสี่ยงด้วยการกระจายความเสี่ยง การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และทำให้หมาะสมในเวลาถูกต้อง
สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยในส่วนของต่างประเทศ มีทั้งสงครามการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศต่างๆ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นประเด็นหลักๆ ที่เป็นตัวกำหนดควาสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละประเทศ

ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็เช่นกัน ผลกระทบจากต่างประเทศต่อเศรษฐกิจไทยในแต่ละอุตสาหกรรม และแต่ละบริษัทจะได้ผลกระทบอย่างไร เนื่องจากผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมจะต่างกัน ดังนั้นการวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรในแต่ละบริษัทจะมีความสำคัญมากในอนาคต ฉะนั้นการกำหนดกลยุทธ์หรือรูปแบบการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เกณฑ์การวิเคราะห์จากแนวโน้มของธุรกิจ หรือบริษัทนั้นๆ จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ และช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งสำคัญมาก และสุดท้ายการวางแผนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้สามารถได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการได้

แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เกิดวิกฤตต่างๆ ในบางครั้งจะมีผลกระทบที่เกินปกติ หรือ Over reaction ดังนั้นอยากจะให้นักลงทุนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ในการเข้าลงทุน เพราะบางทีตลาดหุ้นถูกเทขายออกมากๆ ก็จะมีผลให้ราคาปรับตัวลดลงมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยนักลงทุนอาจเลือกเข้าลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง หรือมีความสามารถในการทำกำไรได้ ก็จะเป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนจะได้ประโยชน์ จากการซื้อหุ้นที่ราราปรับลดลงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ในกรณีที่มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้

สำหรับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีการเติบโตทั้งในเชิงของบริษัทจดทะเบียนที่มากขึ้น ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงขึ้น ทำให้ตลาดมีความต้านทานต่อความผันผวนต่างๆ ได้ดีขึ้น

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ยังกล่าวด้วยว่า ในปีนี้นักลงทุนต่างชาติ น่าจะกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังจาก 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติไปค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันในปี 2563 เป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานมาครบ 45 ปี จึงมุ่งเน้นสร้างการเติบโตไปพร้อมกันทั้งตลาดทุน สังคม และประเทศชาติ อย่างมีสมดุล มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และความผันผวนในเวทีโลกที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม

สำหรับผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ในปี 2562 ด้านธุรกิจ ถือว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยมีสภาพคล่องครองอันดับหนึ่งติดต่อกันตั้งแต่ปี 2555 ในภูมิภาคอาเซียน มูลค่าซื้อขายต่อวัน 53,192 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 28 พ.ค. 2562 มีการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2 แสนล้านบาทต่อวัน ส่วนตราสารอนุพันธ์ หรือ TFEX มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกว่า 4.3 แสนสัญญา มูลค่าการระดมทุนทั้งบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใหม่ (IPO) และเพิ่มทุนรวม 3.8 แสนล้านบาท สูงสุดในอาเซียน โดย บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าระดมทุนใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของไทย และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการระดมทุนใหญ่ที่สุดในโลกในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ 40 บจ. ไทยได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Standard Index เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเพิ่มขึ้น 4 บจ. จากปีก่อนหน้า โดยมีน้ำหนักการลงทุนเพิ่มเป็น 3.43% จาก 2.65% มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นต้น ส่วนในด้านคุณภาพ 20 บจ.ไทย ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมี 7 บริษัท ได้คะแนนสูงสุดเป็นที่ 1 ของโลก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน