นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในเดือนเม.ย. และตลอดทั้งไตรมาส 2 ของปี 2563 ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนยังอยู่ที่เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส โตวิด-19 ว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเกือบทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว, การค้าระหว่างประเทศ, การบริโภคภายในประเทศ จนนำไปสู่การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปี 2563 เป็นติดลบ 1.4% จากเดิมคาดบวก 2.8%

ทั้งนี้ ผลกระทบดังกล่าว ทำให้ยังเชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติก็ยังมีโอกาสชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีความคาดหวังแรงซื้อจากกองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF เงื่อนไขพิเศษ ที่เปิดขายในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2563 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยได้ในระยะสั้น

นายเทิดศักดิ์ ยังกล่าวถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ว่า ล่าสุดฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดประมาณการกำไรบจ.ปี 2563 มาที่ 7.8 แสนล้านบาท ลดลง 2.19 แสนล้านบาท หรือลดลง 16.5% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2563 ลดเหลือ 72.62 บาทต่อหุ้น จากเดิม 95.71 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 17.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยหลักๆ มาจากการปรับลดกำไรในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ผลจากการปรับลดสมมุติฐานราคาน้ำมันลง และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ถูกกดดันจากดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำ บวกกับเศรษฐกิจที่ชะลอ จึงมีความเสี่ยงที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกในช่วงที่เหลือของปี

ขณะที่หากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ยังยืดเยื้อกว่าที่เป็นอยู่ จะกระทบกับกลุ่มเทคโนโลยี หรือ ไอซีที ที่มีต้นทุนจากการประมูลคลื่น 5G เพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มการบินและท่องเที่ยวด้วย

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมาแรง จากความกังวลเรื่อง โควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจมาก แต่หากวิเคราะห์มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน โดยดูจาก ส่วนต่างผลตอบแทนของตลาดหุ้น (Market Earning Yield Gap) ปัจจุบันที่ 5.90% ถือว่ากว้างมาก สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมีทิศทางขาลงที่จำกัด และมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย โดยให้กรอบดัชนีหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 นี้ ที่ 1,264-970 จุด

ทั้งนี้ ในทางเทคนิคมองว่าดัชนีมีโอกาสต่ำสุดที่ 942 จุด แบะหากหลุดกรอบนี้ แนวรับถัดไปมองที่ 880 จุด โดยเทียบเคียงกับดัชนีหุ้นไทยช่วงที่มีการปรับฐานรอบใหญ่ซึ่งในรอบนี้ ตั้งแต่ก.พ.2561 ที่ดัชนีทำจุดสูงสุดบริเวณ 1,853 จุด และดัชนีทำจุดต่ำสุดในรอบนี้ที่ 969 จุด โดยปรับลงไป 47.7% และถ้าเทียบวิกฤติรอบที่ผ่านมาทั้งหมด 5 ครั้ง อาทิ แบล็กมันเดย์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย ต้มยำกุ้ง และดอทคอมพ์ ดัชนีจะปรับลดลงเฉลี่ย 52% ดังนั้นจะได้แนวรับถัดไปของรอบนี้ที่บริเวณ 877 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2 นี้ แนะนำให้สะสมหุ้นที่ปรับฐานลงมาแรง จากประเด็นโควิด-19 พร้อมกับมีโอกาสฟื้นตัวได้แรงกว่าตลาด หรือมีค่า เปรียบเทียบระหว่างการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น และ การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพ (Beta Plus) สูง อย่าง GULF, BGRIM, BAM, SEAFCO, TFG รวมถึงหุ้นที่มีเกราะป้องกัน โควิด-19 อย่าง INTUCH ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ หุ้นที่ราคาสูงเกินกว่าราคาที่เหมาะสม (Over Value) อย่าง THAI และ TASCO

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน