นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าอุตสาหกรรมมากว่า 24 ปี ภายใต้กลุ่ม บี.กริม เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจหลังเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยให้ความสนใจซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะที่บริษัทลงนามสัญญาไปแล้วกับนักลงทุนสถาบันแล้ว 3 ราย คิดเป็น 30% จากจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่บริษัทเสนอขายทั้งหมด

ประกอบด้วยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ลงทุน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ลงทุนรวมกันทั้งสิ้น 1,300 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบัน 3 รายรวมกันคิดเป็นอัตราการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนรวม 201 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 716.9 ล้านหุ้น (ในกรณีที่มีการจัดสรรหาหุ้นส่วนเกิน) โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 651.8 ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวนไม่เกิน 65.1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 16.50 บาท ซึ่งเป็นราคาเสนอขายสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย 15.00-16.50 บาท และคาดว่าจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายในวันที่ 7 ก.ค.นี้

“นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่บริษัทเสนอขายเป็นครั้งแรกเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทอาจมีหุ้นเพิ่มทุนไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนรายย่อย แต่คาดหวังว่านักลงทุนจะเข้าซื้อในตลาดหุ้น ซึ่งจะเริ่มเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 19 ก.ค.นี้”

นางปรียนาถ กล่าวและว่าสำหรับการขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้เงินระดมทุนประมาณ 9,800-10,800 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนจะนำเงินไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งชำระคืนหนี้และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านการแข่งขันทั้งการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศและต่างประเทศ โดยภายในสิ้นปี 2561 จะมีการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพื่อขายในเชิงพาณิชย์ (ซีโอดี) เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,626 เมกะวัตต์ โดยในประเทศ 90% และต่างประเทศ 10% โดยมีเป้าหมายภายในอีก 5 ปีจากนี้ (2560-2564) จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 5,000 เมกะวัตต์ เพื่อป้อนเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสัดส่วนในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% ภายใต้งบลงทุนปีละ 10,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันใน 5 ปีจากนี้ บริษัทจะมีโรงไฟฟ้าทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำลังพัฒนา โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วอย่างน้อยอีก 15 โครงการ

สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2560 บริษัทมีรายได้ 7,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.1% มาอยู่ที่ 421 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน