นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2560 ความผันผวนหลักน่าจะมาจากฝั่งสหรัฐอเมริกา จากประเด็นนโยบายทางการคลังของสหรัฐที่ยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาด ขณะเดียวกันตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวและระดับหนี้ครัวเรือนล่าสุดที่สูงกว่าก่อนช่วงวิกฤตซับไพร์ม น่าจะทำให้เฟดยังคงส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นต่อไปและยังคงคาดการณ์ในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปเช่นกัน

ในด้านของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) คาดว่าน่าจะไม่รีบปรับทิศทางนโยบายทางการเงินให้ตึงตัวขึ้นภายในปีนี้ แม้ว่ามีทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมากขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่ฟื้นสำหรับมุมมองต่อราคานํ้ามันคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างจำกัด โดยมีปัจจัยกดดันจากข้อตกลงในการขยายกรอบเวลาปรับลดปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปก และนอกกลุ่มโอเปกที่เป็นเพียงการซื้อเวลา และกำลังการผลิตนํ้ามันของสหรัฐอมริกาที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว

ในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจไทย บริษัทยังคงมุมมองการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้าจากปริมาณคนว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น 25% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงคาดว่าการฟื้นตัวของค่าจ้างนอกภาคเกษตรจะยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ และจะยังขาดความเชื่อมต่อระหว่างการฟื้นตัวของการส่งออกที่กระจุกตัวและการบริโภคที่อ่อนแอต่อไป

นอกจากนี้ ตัวเลขยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เติบโตได้ดีในช่วง 4 เดือนแรกของปี อาจไม่ใช่สัญญาณการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ออกจากโรงงานไปสู่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งมีทิศทางต่างกับตัวเลขจดทะเบียนรถยนต์นั่งที่ยังคงเติบโตค่อนข้างช้า ในขณะที่การลงทุนภาครัฐ จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกมีการอนุมัติและเปิดประมูลโครงการภาครัฐค่อนข้างน้อย แต่คาดว่ารัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เป็นเครื่องมือหลักในการปลดล็อกข้อติดขัดของโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ทำให้มีการอนุมัติและประมูลโครงการมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ต่อเนื่องถึงครึ่งปีแรก 2561 เช่นเดียวกันกับกลุ่มท่องเที่ยวที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวจากการที่นักท่องเที่ยวจากจีนและมาเลเซียเริ่มกลับมา รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่คาดว่าจะกลับมาหลังจากสิ้นสุดการถือศีลอดในช่วงปลายไตรมาส 2

ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2561 และจากความพยายามที่จะผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งรัฐบาลเตรียมประกาศใช้พ.ร.บ.อีอีซี เป็นกฎหมายได้ภายในเดือนต.ค.ปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดให้เกิดการกลับมาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการลงทุนของเอกชน แต่คาดว่าน่าจะกลับมาได้ในปีหน้า

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์เนื่องจากราคาอาหารสดที่ไม่สูงเท่าปีที่แล้วและการปรับตัวลดลงของราคานํ้ามัน จึงทำให้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ไปตลอดทั้ง ปี 2560

ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทยจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 3 ตลาดจะเผชิญความเสี่ยงจากการประกาศผลประกอบการไตรมาส ของบริษัทจดทะเบียน ที่มีแนวโน้มจะปรับลดลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยไม่สามารถไปได้ไกลกว่าราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอีอาร์) 15 เท่า หรือระดับดัชนีที่ 1,587 จุด และคาดว่าดัชนีจะกลับลงมาเคลื่อนไหวที่เป้าหมาย 1,570 จุด

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3 นี้ ซึ่งบริษัทให้ไว้ 3 แนวทาง คือ 1. อย่ามองข้ามเงินปันผล โดยหุ้นแนะนำ ได้แก่ PTT BBL และ SCB ที่ต่างก็มีอัตราปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด มีความมั่นคงและศักยภาพการเติบโตที่ดี 2. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล การลงทุนของภาครัฐ โดยมีหุ้นเด่น ได้แก่ STEC (ผู้รับเหมางานโยธา) และ TPCH (พลังงานทดแทน) 3. การฟื้นตัวของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยมีหุ้นเด่น คือ PSH และ SPALI เพราะจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของกลุ่ม และมีอัตราเงินปันผลที่น่าดึงดูด รวมถึง HMPRO ที่มีสัดส่วนยอดขาย 20% มาจากโครงการใหม่ๆ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน