รายงานข่าวจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ประเมินว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อรอดูประสิทธิผลของมาตรการการเงินการคลังที่ได้ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น รวมถึงมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ต่อการช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยประคับประคองภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้ผ่านวิกฤตครั้งนี้

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงสูงจากเศรษฐกิจต่างประเทศ และกำลังซื้อภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งกนง. คงจะต้องคอยประเมินสถานการณ์ และชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านต่างๆ รวมถึงประเมินความเพียงพอของมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

ส่วนเศรษฐกิจต่างประเทศยังเผชิญความเสี่ยงสูง – เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ บราซิล และอินเดีย ยังไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ก็เผชิญความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกสอง หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ในขณะที่ การพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคยังมีความไม่แน่นอน โดยคาดว่าน่าจะใช้ระยะเวลาเป็นปีจนกว่าจะพัฒนาออกมาได้สำเร็จ ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจถดถอยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยล่าสุด คาดว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ จะมีการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงอีกสำหรับรายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ หรือ World Economic Outlook (WEO) ในเดือนมิ.ย.นี้ จากคาดการณ์เดิมในเดือนเม.ย.ที่ ลบ -3% ซึ่งเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ผนวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะเป็นแรงกดดันภาคการส่งออกของไทย

รวมถึงกำลังซื้อในประเทศและการจ้างงานที่ลดลงเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยจะเริ่มคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงสูงและอาจไม่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้เร็ว เนื่องจาก การส่งออกและการท่องเที่ยวยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจต่างประเทศในระดับสูง ส่งผลต่อเนื่องมายังรายได้ของคนในประเทศให้ได้รับผลกระทบตามไปด้วย

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคทำให้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคยังต้องยึดถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่ยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ และมีผลต่อเนื่องมายังการจ้างงานที่ลดลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานในไทยอาจเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปีก่อนหน้า ไปแตะที่ระดับ 4% ในปีนี้ ซึ่งการจ้างงานที่อ่อนแรงลงจะเป็นปัจจัยหลักที่บั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนและความต้องการซื้อภายในประเทศต่อไป

โดยสรุป ท่ามกลางความเสี่ยงข้างต้น ธนาคารแห่งประเทศไทยคงพร้อมที่จะใช้เครื่องมือนโยบายทางการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติม หากมีความจำเป็นในระยะข้างหน้า โดยการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบไม่ปกติ (Unconventional) เช่น มาตรการเสริมสภาพคล่อง น่าจะเป็นเครื่องมือหลักที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจนำออกมาใช้เพิ่มเติม ในขณะที่ทางเลือกในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายก็ยังอยู่วิสัยที่สามารถทำได้ แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะยังไม่มีความจำเป็นก็ตาม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน