นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ฟินันซ่าในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT และในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และผู้ร่วมจัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้ร่วมกันกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ STGT ที่หุ้นละ 34 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น หลังจากได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเป็นจำนวนมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจและแผนงานขยายการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตที่มีความชัดเจน จึงเชื่อว่าราคาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับพื้นฐานและศักยภาพธุรกิจของ STGT

โดยกำหนดเสนอขายหุ้นไอพีโอแก่นักลงทุนในวันที่ 23-25 มิ.ย.นี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 2 ก.ค.นี้ โดยจะเสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 438.78 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 30.7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยแบ่งการเสนอขาย ให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 432.78 ล้านหุ้น และเสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STGT และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 2 ล้านหุ้น

นอกจากนี้ ยังเสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 10 ล้านหุ้น ในจำนวนนี้จะเสนอขาย ณ วันไอพีโอจำนวนไม่เกิน 4 ล้านหุ้น และอีก 6 ล้านหุ้น จะเสนอขายในปีที่ 1-2 ภายหลังวันไอพีโอ และส่วนหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรในส่วนที่ 2-3 (ถ้ามี) จะเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบันและผู้มีอุปการคุณของบริษัท

โดย STGT จะนำเงินจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอ ไปใช้ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การติดตั้งระบบ SAP รวมถึงนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ

น.ส.จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT เปิดเผยว่าผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางรายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก โดย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2563 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 32,619 ล้านชิ้นต่อปี จากโรงงาน 3 แห่ง ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา สุราษฎร์ธานีและตรัง และมีแผนงานขยายกำลังการผลิตติดตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติควบคู่กับการรักษาสัดส่วนผลิตถุงมือยางไนไตรล์ที่ใช้น้ำยางสังเคราะห์เป็นวัตถุดิบ รวมถึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ภายในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ได้วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 50,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2567 ทั้งการขยายกำลังการผลิตในโรงงานเดิมที่ จ.สุราษฎร์ธานีและตรัง รวมถึงก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจ.สงขลาและชุมพร จากนั้นจะขยายกำลังการผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 70,000 ล้านชิ้นภายในปี 2571 รวมถึงในระยะยาว จะขยายเป็นประมาณ 1 ร้อยล้านชิ้น ในปี 2575

ทั้งนี้ บริษัทวางแผนขยายตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ ทวีปเอเชียแปซิฟิก แอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งล้วนกำลังพัฒนาระบบสาธารณสุขและสุขอนามัย ทำให้อัตราการใช้ถุงมือยางเฉลี่ยต่อคนต่อปีจึงมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต โดย STGT จะใช้จุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงงานในไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ใช้เพาะปลูกยางพาราและโรงงานผลิตน้ำยางข้นของกลุ่ม STA ที่เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและซัพพลายเชน

ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาเติบโตมาตลอด โดยสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย ประเมินความต้องการถุงมือยางทั่วโลกในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านชิ้น เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี นับจากปี 2559 ซึ่งมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมทางการแพทย์และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยของคนทั่วโลก นอกจากนี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นอุปกรณ์การแพทย์ที่สำคัญในการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย ห้องแล็บและตรวจรักษาโรค

ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 12,224.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.3% และมีกำไรสุทธิ 613.91 ล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นจากการขยายตลาดใหม่ๆ และการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้รวม 3,873.28 ล้านบาท เติบโต 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท เติบโต 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน