ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,457.02 จุด ลดลง 47.32 จุด หรือ 3.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74,142.56 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 7,268.24 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 627.33 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ซื้อสุทธิหุ้นไทย 998.74 และ 6,896.83 ล้านบาทตามลำดับ

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. BANPU มูลค่าการซื้อขาย 3,436,889.30 บาท ปิดที่ 16.50 บาท ลดลง -1.00 บาท (-5.71%)
2. BCPG มูลค่าการซื้อขาย 2,791,023.28 บาท ปิดที่ 12.50 บาท ลดลง -0.70 บาท (-5.30%)
3. CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,546,814.62 บาท ปิดที่ 61.50 บาท ลดลง -2.50 บาท (-3.91%)
4. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,317,099.65 บาท ปิดที่ 185.50 บาท ลดลง -6.50 บาท (-3.39%)
5. SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,200,051.55 บาท ปิดที่ 145.00 บาท ลดลง -6.00 บาท (-3.97%)

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคระห์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงแรง จากความกังวลปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวในแดนลบเล็กน้อย เนื่องจากยังมีความกังวลเล็กน้อยกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้ว่าตลาดจะมีการรับรู้แล้วว่าเฟดอาจจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันที่ 11 ต.ค. ตลาดหุ้นไทยอาจมีการฟื้นตัวเชิงเทคนิค (เทคนิคเคิลรีบาวด์) ได้หลังปรับตัวลงแรง โดยให้แนวรับที่ 1,450 จุด และหากหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ จุดต่ำสุดเดิมที่ 1,410 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,470-1,480 จุด

ด้านนายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต จากปัจจัยทางเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตที่ดี การส่งออกที่มีโอกาสพลิกกลับมาเป็นบวกได้ การบริโภคในประเทศที่มีการขยายตัวขึ้น และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ลดลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็ยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ดี จากปัจจัยการลงทุนภาครัฐที่เริ่มมีความชัดเจน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่อย่างไรก็ดีในระยะสั้นช่วง 2-3 วันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยลบในประเทศ หลังจากที่ช่วงเปิดตลาดเช้าวันนี้ (10 ต.ค.) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 50 จุด ดังนั้นแนะนำนักลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน โดยนักลงทุนจะต้องจับตาดูสถานการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และจับจังหวะในการซื้อหรือปรับพอร์ตการลงทุน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนจะต้องติดตาม คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือนพ.ย.นี้ และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่คาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนธ.ค.นี้

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2560 จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,335-1,540 จุด บนระดับราคาต่อกำไรต่อหุ้นที่ 13 และ 15 เท่า ส่วนปีนี้มองดัชนีสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 1,530 จุด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีหน้าหากมีปัจจัยใดที่รุนแรงมากระทบ ดัชนีจะไม่หลุดแนวรับที่ 1,335 จุด ส่วนการปรับตัวขึ้นนั้นก็คงจะค่อนข้างลำบาก เพราะยังมีปัจจัยกดดันทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ โดยในต่างประเทศนั้นก็เป็นเรื่องของความกังวลของเศรษฐกิจโลก แม้ว่ายังสามารถเติบโตไปได้แต่อัตราการเติบโตยังค่อนข้างช้า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน