นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ของปี 2560 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 12% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 8% หรือมีเบี้ยรับรวมกว่า 1 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้กว่า 9 หมื่นล้านบาท

ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Year Premium-RYP) มีอัตราการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกที่ 16% โดยที่แบบประกันสุขภาพของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ 40% เทียบกับประกันสุขภาพทั้งอุตสาหกรรมซึ่งก็ยังมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปีที่ประมาณปีละ 10-13% โดยมีมูลค่าตลาดรวมล่าสุดอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องสุขภาพ ซึ่งในส่วนของบริษัทก็มีการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ด้านประกันสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยพยามที่จะตอบโจทย์ในแง่ของการรักษาพยาบาล และโรคร้ายแรงบางตัว

“ภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตรับรวมของทั้งอุตสาหกรรมในปีนี้ยังมีการเติบโตได้ประมาณ 5% ซึ่งอาจเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากฐานตลาดค่อนข้างสูงแล้ว ประกอบกับปัจจุบันหลายบริษัทได้พยามที่จะปรับผลิตภัณฑ์และการให้บริการเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และแนวโน้มจะเป็นแบบประกันที่มีความเฉพาะตัว และเฉพาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น อาทิ การประกันสุขภาพโรคมะเร็ง ที่เริ่มตั้งแต่ตรวจพบในระยะแรก เป็นต้น โดยความคุ้มครองอาจเป็นระยะสั้น กลาง ยาว ปัจจุบันมีความหลากหลายมาก หรือเรียกได้ว่าเป็นยุคที่ธุรกิจประกันออกแบบให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุดแล้ว”นายสาระ กล่าว

อีกทั้งในไตรมาส 3 นี้ เมืองไทยกรุ๊ป ยังเตรียมที่จะจัดตั้งธุรกิจร่วมลงทุน หรือเวนเจอร์แคปปิตอล วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่สามารถมาเติมเต็มธุรกิจประกันได้ ขณะเดียวกันล่าสุดบริษัท เปิดตัวโครงการ “Premier Health Solutions” ผ่านการเปิดตัว 2 โครงการสุขภาพจาก Fuchsia Innovation Centre

โดยโครงการแรก “myTHAIDNA” เป็นการดูแลตัวเองผ่านการตรวจ DNA ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยให้ดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยร่วมกับ Prenetics ซึ่งเป็นผู้ให้บริการตรวจโภชนพันธุศาสตร์ ที่สามารถบอกถึงความต้องการด้านโภชนาการ สารอาหารที่ร่างกายตอบสนอง และการออกกำลังกายที่เหมาะเฉพาะตัวเพียงซื้อแบบประกันภัยที่มีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป สำหรับลูกค้าใหม่เลือกชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี และชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไปต่อกรมธรรม์ ส่วนลูกค้าเก่า ชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 12,500 บาทขึ้นไปต่อกรมธรรม์ จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อการตรวจในราคา 7,000 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์/1 กรมธรรม์) ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 มิ.ย. 2561

ส่วนโครงการที่สองเป็นร่วมมือกับ บริษัท เฮลธ์ แอท โฮม จำกัด สตาร์ตอัพด้านเฮลธ์เทคของประเทศไทย ที่ให้บริการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่บ้าน โดยทีมงานผู้ดูแลที่มีมาตรฐาน และใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์แบบเรียลทม์ เพื่อช่วยให้ครอบครัวของผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุสามารถติดตามการดูแลรักษาได้ตลอดเวลา ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยที่มีความต้องการในการรักษาอย่างต่อเนื่องที่บ้านหรือผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทำให้เป็นปัญหาของสถานพยาบาลที่มีเตียงและผู้ดูแลจำกัด และความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นไปอีกในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน