นายศุภวุฒิ จิรมนัสนาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า 6 เดือนแรกที่ผ่านมาปีนี้บริษัทมียอดสินเชื่อใหม่ 6,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ในขณะที่ยอดสินเชื่อรวมอยู่ที่กว่า 33,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อใหม่ 95-96% เป็นสินเชื่อใหม่ของรถยนต์นั่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และที่เหลือจะเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ ที่บริษัทได้เข้ามาสนับสนุนสินเชื่อให้บริษัท เดมเลอร์ คอมเมอร์เชียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นปีแรก
“การเติบโตของยอดสินเชื่อใหม่ถึง 10% เป็นการเติบโตตามยอดขายของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อรถเมอร์เซเดส-เบนซ์กว่า 50% เป็นลูกค้าสินเชื่อของเบนซ์ ลีสซิ่ง 30-35% จะซื้อด้วยเงินสด และอีก 15% จะใช้สินเชื่อที่อื่นๆ ดังนั้นจึงมั่นใจว่ายอดสินเชื่อใหม่ปีนี้จะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท เพราะรถยนต์นั่งของเบนซ์เชื่อว่ายังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดรถยนต์ที่เติบโตไม่มากนัก ประกอบกับการเปิดตลาดรถเพื่อการพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยแบ่งเป็นสินเชื่อใหม่รถยนต์นั่ง 11,000-12,000 ล้านบาท และรถเพื่อการพาณิชย์ 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้สินเชื่อรวมปีนี้จะใกล้เคียง 40,000 ล้านบาท”
สำหรับในปี 2561 บริษัทเชื่อว่ายอดสินเชื่อรวมจะทำได้กว่า 40,000 **ล้านบาทแน่นอน เพราะหลังจากเปิดตลาดรถเพื่อการพาณิชย์จริงจัง โดยเจาะไปยัง 3 กลุ่มลูกค้าหลัก คือ บริษัทข้ามชาติที่มีการส่งตรงมาจากต่างประเทศ บริษัทขนส่งต่างชาติ และบริษัทที่ทำธุรกิจบริหารจัดการรถเอง อย่างบริษัทโลจิสติกส์ หรือบริษัทเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งตลาดดังกล่าวบริษัทมองเห็นศักยภาพของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต และตั้งเป้าหมายในอีก 2-3 ปี สินเชื่อรถเพื่อการพาณิชย์จะมีสัดส่วนประมาณ 30% หรือมียอดสินเชื่อประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปีนี้น่าจะมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ส่งผลให้ยอดสินเชื่อของบริษัทเติบโตได้ในระดับ 20% ทุกปีจากนี้
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ระดับ 0.3% และอยู่ในระดับนี้มาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง ถือว่าน้อยมากและความเสียหายเป็น 0% ซึ่งตลาดรถยนต์หรูได้รับผลกระทบน้อยมาก แต่ถ้าเป็นภาพรวมของตลาดเอ็นพีแอลจะอยู่ในระดับ 2.5%
