นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมประจำปีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปี 2560 ว่า ไอเอ็มเอฟ ประเมินการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกดีขึ้น โดยปี 2560 ขยายตัว 3.6% และปี 2561 ขยายตัว 3.7% โดยการฟื้นตัวเป็นไปในลักษณะกระจายตัว ไม่ได้อยู่เฉพาะประเทศอุตสาหกรรมหลัก นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายตัวของตัวของตลาดแรงงานที่เข้มแข็ง มีการจ้างงานสูงขึ้น อัตราว่างงานลดลง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังส่งผ่านมายังการค้าระหว่างประเทศที่ขยายตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟ ยังมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการฟื้นตัวที่พบว่าในหลายประเทศมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ซึ่งตามปกติเมื่อเศรษฐกิจฟื้น เงินเฟ้อต้องปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งน่าจะมาจากอัตราค่าจ้างที่ยังไม่ได้มีการปรับขึ้น อีกทั้งยังมีการใช้กำลังการผลิตที่เหลืออยู่เดิม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในการผลิต การปรับตัวกับอี-คอมเมิร์ซ มีผลให้ผู้ประกอบการไม่มีอำนาจต่อรองราคาสินค้าได้เหมือนเดิม และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่เกิดการออมมากขึ้น ทำให้การจับจ่ายใช้สอย การบริโภค ไม่กลายเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อ

สำหรับกรณีอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายนั้น มีจาก 3 สาเหตุ คือ ในเรื่องของอุปทาน โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร ที่ปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง การบริโภคที่มีทิศทางการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน และการใช้เทคโนโลยีของผู้บริโภค ทั้งนี้ ธปท. มีการหารือกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ถึงทิศทางของเงินเฟ้อ ซึ่งเชื่อว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย (1-4%) ได้ในช่วงต้นปีถึงกลางปี 2561 โดยในส่วนของกรอบเงินเฟ้อในปี 2561 ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นต้องเสนอให้มีการทบทวนใหม่

นายวิรไท กล่าวว่า ไอเอ็มเอฟยังมองความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์และต้นทุนทางการเงินทำให้ประเทศเกิดใหม่ที่เคยพึ่งเงินถูก หากไม่มีการเตรียมตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ย จะกระทบสภาพคล่องในประเทศได้ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ คาบสมุทรเกาหลี รัสเซีย นโยบายกีดกันทางการค้า และความเสี่ยงของความปลอดภัยไซเบอร์ที่รุนแรงมากขึ้น

นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังเป็นห่วงความเสี่ยงการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เรตติ้งต่ำ (Investment Grade) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หลังพบว่าตราสารในระดับในระดับ BBB เพิ่มมากขึ้นกว่า 50% จากเดิม 25% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานาน สะท้อนพฤติกรรมการไล่ผลตอบแทนในการที่สูงขึ้น โดยหลายประเทศที่ไม่เคยออกตราสาร หรือบางประเทศที่มีปัญหา ก็มีการออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเป็นห่วงเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่ต่ำเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้นักลงทุนชะล่าใจในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นจริงก็จะรุนแรงมากกว่าเดิม อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น จะส่งผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในปีต่อๆ ไป

นายวิรไท กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาว่า ค่าเงินบาทในไตรมาส 3/2560 มีทิศทางแข็งค่าสอดคล้องใกล้เคียงกับภูมิภาค หลังจากไตรมาส 2/2560 มีทิศทางแข้งค่ากว่าภูมิภาคอยู่บ้าง เนื่องจากไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทในขณะนี้ สะท้อนกับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวดี มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยรอบใหม่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และการลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน