น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวต่อเนื่อง จากการรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกประจำปี 2561 ที่ระบุว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องราว 3% และในช่วงปลายปี 2560 จะเข้าสู่ไฮซีซั่นเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวในระดับสูงขานรับแนวโน้มที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในและนอกกลุ่มโอเปกจะขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตในการหารือปลายเดือนนี้

ส่วนปัจจัยที่ยังคงกดดันภาพรวมการลงทุนในระยะสั้น คือ ความล่าช้าในการบังคับใช้กฏหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐและมีความซับซ้อนมากขึ้น และ Fund Flow ที่ยังคงผันผวน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติ Net Sell สะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของจีน เดือนต.ค. มีหลายรายการชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาในสัปดาห์นี้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีกำหนดลงมติต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่มีความแตกต่างกันในฉบับของสภาผู้แทนราษฎรและฉบับวุฒิสภา และในวันที่ 15 พ.ย. ทางสหรัฐ จะมีการรายงานตัวเลขดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค. ส่วนในวันที่ 20 พ.ย. ทางสภาพัฒน์แถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2560

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ประเมินว่า SET ในสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,675-1,720 จุด แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีประเด็นบวกจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังหนุนผลประกอบการเติบโต รวมทั้งกระแสข่าว กกพ.ที่คาดจะรับซื้อไฟฟ้าจากขยะ 78 เมกะวัตต์ ในสัปดาห์หน้า เปิดรับซื้อ VSPP Semi-firm 269 เมกะวัตต์ต้นปี 2561 และหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ได้แก่ ANAN, COMAN, XO, MALEE, TPCH, TWPC, JUBILE

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับความล่าช้าของอังกฤษในการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปนั้น จะเป็นปัจจัยกดดันสกุลเงินปอนด์และยูโรไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อราคาทองคำ ส่วนการเยือนเอเชียของประธานาธิบดีทรัมป์ ฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นผลบวกต่อการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก แต่ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ยังคงมีความเสี่ยงเช่นเดิม

นอกจากนี้ แม้ว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในการประชุมเดือน ธ.ค.ได้ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่องการออกกฎหมายปฏิรูปโครงสร้างภาษีฉบับพรรครีพับลิกันและรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะล่าช้าออกไปมากก็ตาม แต่แนวโน้มที่ Fed จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสุดท้ายของปีมีน้อยมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐในปีหน้าจะยังคงมีการปรับขึ้นได้ตามแผน ทำให้ราคาทองคำได้รับเพียงผลบวกในระยะสั้นจากประเด็นความกังวลเรื่องร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี แต่ไม่ใช่ปัจจัยบวกสำหรับระยะกลางถึงยาว จึงคงคำแนะนำให้ผู้ลงทุนจับจังหวะ trading ในช่วงระหว่างกรอบรับหลักที่ 1,240-1,260 ดอลลาร์ กับแนวต้านจิตวิทยา 1,300 ดอลลาร์

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน