ไม้ดอกไม้ประดับ
ช่วงนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกขาว ไม่รู้ว่าหมอกอะไรทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว ก็มันไม่ใช่หมอกยังไงล่ะคะทุกคน! มันคือ PM2.5 ที่หนาเป็นพิเศษจนทำเอาเราแสบตา คันคอ หายใจกันไม่คล่อง ทำให้เราต้องหันกลับมาใส่หน้ากากกันอีกรอบ พอกลับเข้าห้องหรือหอพักตื่นมาก็ยังรู้สึกได้ถึงฝุ่น แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเรามี 8 ต้นไม้ฟอกอากาศที่จะช่วยเพิ่มโอโซน ดูดซับสารพิษในห้องหรือในบ้านมาฝากกันค่ะ และบางต้นยังมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศนี่ดีเยี่ยมพอ ๆ กับเครื่องฟอกอากาศอีกเลยด้วย 1.ต้นยางอินเดีย ยางอินเดียเป็นต้นไม้ในร่มช่วยฟอกอากาศในห้องให้ดียิ่งขึ้น เพียงแค่ตั้งไว้ตามมุมห้องรับรองว่าดูมินิมอลขึ้นทันตาเห็น และวิธีการดูแลก็ง่ายมากเพียงแค่หมั่นใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดเช็ดใบเพิ่มความชุ่มชื้น ควรให้น้ำวันละ 1 ครั้ง ต้นยางอินเดียไม่ชอบน้ำขังแฉะ และชอบแสงแดดรำไร 2.ต้นลิ้นมังกร ต้นลิ้นมังกรเป็นต้นไม้ฟอกอากาศที่ดูแลง่าย สามารถนำมาเลี้ยงใส่ในกระถางเล็กตั้งไว้ในห้องนอนหรือไว้บนโต๊ะทำงาน หากตั้งไว้ในร่มรดน้ำเพียงอาทิตย์ละครั้ง แต่หากวางไว้ข้างนอกให้วางโดนแสงแดดรำไรในบริเวณที่แสงแดดส่องให้รดน้ำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง 3.ต้นเดหลี ต้นเดหลี เป็นไม
ดอกหน้าวัว (Anthurium spp.) เป็นไม้ดอกเศรษฐกิจสำคัญที่นิยมใช้แพร่หลายในประเทศและส่งออก เพราะเป็นไม้ดอกที่มีหลากสีสันและหลายสายพันธุ์ ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง และมีอายุการใช้งานได้นาน หน้าวัว เสริมรายได้ช่วงฤดูฝน-ราคายางตกต่ำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส พบว่า เมื่อนำต้นหน้าวัวปลูกเป็นพืชร่วมในสวนยางพารา ดอกหน้าวัวสามารถเจริญเติบโตและออกดอกได้ดี จึงแนะนำให้เกษตรกรปลูกเป็นพืชร่วมในสวนยางพารา เพื่อเสริมรายได้ในช่วงฤดูฝนที่มีจำนวนวันกรีดน้อยหรือในช่วงที่ราคายางตกต่ำ ธรรมชาติของหน้าวัว ดอกหน้าวัว เติบโตได้ดีในแหล่งปลูกที่มีร่มรำไร มีแสงแดดประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และต้องการความชื้นสูง ทั้งนี้ แนะนำให้ปลูกในสวนยางพารา อายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป ที่มีปริมาณแสงเพียงพอกับการเจริญเติบโตและออกดอกแล้ว ยังมีเวลายาวนานเพียงพอกับการลงทุน สายพันธุ์ที่แนะนำปลูก การปลูกหน้าวัวในสวนยางพารา ควรเลือกใช้สายพันธุ์ไทยที่ต้านทานโรคและทนทานต่อแสงแดด ได้แก่ เปลวเทียนภูเก็ต (สีชมพู) เปลวเทียนลำปาง (สีขาว) หน้าวัวผกามาศ (สีส้ม) และหน้าวัวดวงสมร (สีแดง) วิธีการปลูก ต้นดอกหน้าว
อโกลนีมา (Aglaonema ) สกุลของพืชไม้ประดับที่มีความสวยงามที่ใบ ได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งไม้ประดับ” เป็นลำดับพืชที่มีมากกว่า 100 ชนิด ปัจจุบันมีการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้สีสันสวยงาม นิยมเพาะเลี้ยงเพื่อความสวยงาม และจัดเป็นไม้มงคล มีการตั้งชื่อสายพันธุ์ภาษาไทยที่สื่อความหมายทางโชคลาภ เช่น กวักมหามงคล บัลลังก์ทับทิม บัลลังก์ทอง เพชรน้ำหนึ่ง ฯลฯ นอกจากความสวยงามแล้ว ยังเป็นไม้ฟอกอากาศได้ดี สามารถดูดซับก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ ลดมลพิษภายในอาคาร นับเป็นไม้ประดับใบที่มีอนาคตไกล เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและส่งออกอย่างต่อเนื่อง การขยายพันธุ์อโกลนีมา สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น การตอน การแยกหน่อ การชำ และ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ส่วนการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ คือใช้เมล็ด ปกติเมล็ดของต้น อโกลนีมาที่ได้จากการผสมตัวเองจะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ แต่ถ้ามีการผสมข้ามระหว่างสกุลสามารถสร้างลูกผสมใหม่ๆ เกิดขึ้น ปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิตอโกลนีมานิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำเป็นส่วนใหญ่ บางกรณีมีการขยายพันธุ์ด้วยการซื้อต้นกล้าขนาดเล็กที่เพิ่มจำนวนด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อให้ได้ต้นไ
แค็กตัส ชนิดกระเป๋านั้น มีรูปร่างน่ารัก แปลกตา เพราะมีหลากหลายสายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาหรือการเลี้ยงดูก็ใช้วิธีการเหมือนกัน การจะปลูกแค็กตัสให้สวยงาม เริ่มจากการเลือกกระถางปลูกให้มีขนาดเหมาะสมกับต้นแค็กตัส อันดับต่อมา การปรุงดินสำหรับปลูก จัดเตรียมไว้เป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้ส่วนผสมจากดินใบก้ามปูที่บดและร่อนแล้ว 3 ส่วน ถ่านไม้ทุบพองาม 1 ส่วน ขุยมะพร้าว 1 ส่วน และปุ๋ยอินทรีย์ 1 ส่วน ดินส่วนที่ 2 ประกอบด้วย กรวดน้ำจืด 1 ส่วน ทรายหยาบน้ำจืดเช่นเดียวกันอีก 1 ส่วน หินภูเขาไฟชนิดเม็ดกลม 2 ส่วน กระดูกป่น 1 ส่วน และหินฟอสเฟต 1 ส่วน นำส่วนผสม ส่วนที่ 1 มาผสมกับ ส่วนที่ 2 ในอัตรา 1 : 4 โดยปริมาตร พรมน้ำเล็กน้อยแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงในกระถาง ที่รองก้นด้วยถ่าน หรือเศษอิฐหัก รดน้ำด้วยฝักบัว กระทั่งเห็นว่าน้ำไหลลงก้นกระถางจึงหยุดรด และปลูกต้นแค็กตัสที่ซื้อมาใหม่ หรือเปลี่ยนกระถางก็ตาม ปล่อยไว้จนดินแห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หรือทดสอบด้วยใช้ไม้เสียบลูกชิ้นแทงลงในดินปลูก ถ้าถอนไม้ขึ้นมาหากยังมีวัสดุปลูกติดขึ้นมาก็ยังไม่ต้องให้น้ำ รอจนแห้งสนิทดีจึงรดอีกครั้ง ไม่ควรรดน้ำทุกวันจะทำ
รองเท้านารี สกุล Paphiopedilum เป็นกล้วยไม้กึ่งดิน ในประเทศไทยพบกว่า 20 สายพันธุ์ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ รวมถึงภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทำให้รองเท้านารีที่พบในประเทศไทยมีความงดงามแตกต่างกัน หลายชนิดพบเฉพาะในประเทศไทย เช่น รองเท้านารีเหลืองตรัง รองเท้านารีช่องอ่างทอง รองเท้านารีขาวพังงา ภาคใต้ เป็นภาคที่มีรองเท้านารีชนิดต่างๆ ในธรรมชาติมากกว่าภาคอื่น ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงจังหวัดสตูล พบรองเท้านารีในแหล่งธรรมชาติทุกจังหวัด อาจจะเป็นเพราะภาคใต้มีความชุ่มชื้นสูงจากผืนดินที่ติดทะเล รองเท้านารีเหลืองกระบี่ (Paphiopedilum exul) เป็นกล้วยไม้ที่พบในหลายจังหวัดที่ติดกับชายฝั่งอันดามัน เช่น ภูเก็ต พังงา ตรัง แต่พบมากในจังหวัดกระบี่ จึงเป็นที่มาของชื่อรองเท้านารีเหลืองกระบี่ รองเท้านารีเหลืองกระบี่ เป็นรองเท้านารีที่มีใบเขียว ไม่มีลาย เจริญเติบโตเป็นกอใหญ่ ก้านดอกยาว 10-12 นิ้ว ส่งเลยใบทำให้ดูโดดเด่น กลีบบนมีสีเหลือง มีจุดประสีน้ำตาล กระเป๋าด้านหน้ามีสีเหลืองเป็นมัน ออกดอกระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ พบมากตามเขาหินปูนทั้งบนเกาะและเขาหินปูนบริเวณ
ปลูกดาวเรืองหลังนา เป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ ซึ่งช่วงที่ข้าวถูกเก็บเกี่ยวผลผลิตไปหมดแล้วนั้น จะทำให้พื้นที่ว่างเปล่าและไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ การปลูกดาวเรืองจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการสร้างรายได้ เพราะใช้เวลาปลูกเพียง 45 วัน ดาวเรืองจะเริ่มให้ดอกชุดแรกตัดส่งจำหน่ายได้ต่อไปยาวนานถึง 2 เดือน จนกว่าจะหมดรุ่น คุณนิตยา ทัพซ้าย หรือ นิด ได้เล็งเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากการปลูกดาวเรือง จึงได้ใช้พื้นที่นาของคุณนิดเอง เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวจนหมดแล้ว มาปลูกดาวเรืองตัดดอกขายในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งดาวเรืองที่ปลูกดอกสวยและสมบูรณ์เป็นที่ต้องการของตลาด โดนหลอกขายพันธุ์ดาวเรือง แต่สู้จนประสบผลสำเร็จ ทำตลาดเอง คุณนิด เล่าให้ฟังว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้นย้อนไปเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ได้รับการส่งเสริมจากนายหน้าท่านหนึ่ง ให้มาปลูกดาวเรืองโดยที่คุณนิดต้องซื้อต้นพันธุ์จากนายหน้าท่านนี้ และเมื่อผลผลิตออกมาแล้วสามารถส่งขายให้ทางผู้มาแนะนำให้ปลูกได้เพราะมีตลาดรองรับ และเมื่อปลูกจนดาวเรืองออกดอกผลปรากฏว่าไม่ได้รับการติดต่อจากนายหน้าท่านนี้ จึงทำให้ทราบว่าต้องโดนหลอกขาย
บอนสี ไม้ประดับทำเงินอีกชนิดหนึ่งที่ชวนให้หลงใหล ภายใต้เฉดสีอันฉูดฉาดสะดุดตา รวมถึงสายพันธุ์ที่มีให้เพาะเลี้ยงอย่างหลากหลาย ผลักดันให้ไม้ประดับสายพันธุ์นี้ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในสังคมไทย การเพาะเลี้ยงพรรณไม้ตามความต้องการของตลาดนับเป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จในตลาดไม้ประดับเมืองไทย บอนสีนับเป็นพรรณไม้อีกชนิดหนึ่งที่เกษตรกรเลือกให้ความสนใจเพาะเลี้ยง นอกจากจำหน่ายต้นพันธุ์เพียงอย่างเดียวแล้วการจำหน่ายเมล็ดบอนสีเพื่อให้ลูกค้านำไปเพาะขยายพันธุ์ด้วยตนเองก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าสายลุ้นว่าตนเองจะได้บอนสีลูกผสมชนิดใด มีเฉดสีที่แปลกแตกต่างออกไปหรือไม่ คุณพงษ์ศักดิ์ ผลมรุกต์ หรือ คุณปาล์ม หนุ่มร่างสูงโปร่ง นัยน์ตาชวนฝัน เกษตรกรเพาะเลี้ยงบอนสี อาศัยอยู่ที่บ้านถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เล่าว่า ตนเองจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ แล้วได้ประกอบอาชีพเป็นพนักงานในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ภายหลังได้ตัดสินใจลาออกกลับมาประกอบธุรกิจส่วนตัวทำสวนทุเรียนของครอบครัวที่บ้านเกิดในจังหวัดชุมพร จนกระทั่งช่วงต้นปี พ.ศ. 2564 กระแสเพาะเลี้ยงไม้ประดับ โดยเฉ
ไม่ใช่เพียงการปลูกผักในบริเวณบ้านเท่านั้นที่จะถูกนำเสนอในคอลัมน์ เกษตรในเมือง แต่หมายถึงการปลูกพืชชนิดไหนก็ได้ ขอเพียงให้สามารถใช้ประโยชน์จากการปลูกทั้งในแง่ความมั่นคงทางอาหารหรือสุขภาพที่ได้บริโภคผักปลอดภัย หรือในแง่สันทนาการเพื่อความเพลิดเพลินสามารถคลายเครียดจากการทำงานในเมืองได้เป็นอย่างดี ไม้ดอกไม้ประดับส่วนใหญ่จะถูกปลูกไว้หน้าบ้านหรือในสวนข้างบ้านอยู่แล้ว จะมากจะน้อยแล้วแต่ความชอบกับความเหมาะสมของสถานที่ ภูมิอากาศสภาพแวดล้อมก็มีส่วนด้วย ตามข้อมูลของเฟิร์นสกุล Platycerium หรือชายผ้าสีดา ที่มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติในประเทศไทยมีอยู่ 4 ชนิด คือ เฟิร์นหูช้าง เฟิร์นปีกผีเสื้อ ที่มีมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนเฟิร์นชายผ้าสีดาใต้ที่มีชายห้อยลงยาวกว่าชนิดอื่นและเฟิร์นเขากวางตั้งซึ่งมีชายตั้งตรงขึ้นไม่ได้ห้อยเหมือนชนิดอื่นพบในภาคใต้ ผู้เขียนเคยนำเฟิร์นทั้ง 4 ชนิดมาปลูกในภาคกลางปรากฏว่าเฟิร์นที่เติบโตได้ดีคือ เฟิร์นปีกผีเสื้อและเฟิร์นหูช้างของภาคเหนือและภาคอีสาน ส่วนเฟิร์นที่มาจากภาคใต้ คือเฟิร์นชายผ้าสีดาใต้และเขากวางตั้งปลูกค่อนข้างยาก เพราะตามถิ่นกำเนิดเดิมเฟิร์นเหล่านี้อยู่ในธรรมชาติที่
ปลูกดอกไม้กินได้ สร้างรายได้ครึ่งแสน ด้วยพื้นที่เพียง 30 ตารางวา “ดอกไม้กินได้” เป็นอีกหนึ่งผลผลิตทางการเกษตรที่ปัจจุบันตลาดกำลังไปได้กว้าง เพราะในกลุ่มลูกค้าร้านอาหารและคาเฟ่ ไม่ได้รังสรรค์อาหารที่รสชาติดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังใส่ใจในเรื่องของรูปลักษณ์และความสวยงามมากขึ้น จึงทำให้ทุกเมนูไม่เพียงมีความอร่อยเพียงเท่านั้น แต่ยังถูกถ่ายทอดด้วยสีสันสวยงาม และถูกลูกค้าถ่ายภาพพร้อมกับลงผ่านทางช่องออนไลน์ออกไปในช่องทางต่างๆ ช่วยให้ความสวยงามของดอกไม้กินได้ที่นำมาประดับตกแต่งนั้น เป็นตัวช่วยชั้นดีที่เพิ่มสีสันจึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง คุณเม-เมชญา นาควิสุทธิ์ ได้เล็งเห็นโอกาสจากการสร้างรายได้จากการปลูกดอกไม้เพียงไม้เพื่อผ่อนคลายเท่านั้น และเมื่อมีลูกค้าติดต่อเข้ามาขอซื้ออยู่เสมอ จึงใช้พื้นที่รอบบ้านเพียง 30 ตารางวา ปลูกดอกไม้หลากหลายชนิด พร้อมเรียนรู้การทำตลาดออนไลน์ จนทุกวันนี้นอกจากทำตลาดจำหน่ายในพื้นที่แล้วยังส่งไปทั่วประเทศอีกด้วย ดอกไม้ นอกจากความสวย ยังช่วยผ่อนคลาย จนเกิดรายได้ คุณเม เล่าย้อนกลับไปเมื่อครั้งโควิด-19 เข้ามาระบาดในประเทศไทยว่า ช่วงนั้นทำงานรับออกแบบ ทำให้งา
ใครที่เป็นสายแค็กตัสเลิฟเวอร์ ต้องรู้จัก สวน “แคคตัสลุงเหน่” พระราม 2 ของ คุณจิ๊บ-สุนทรียา ฮวบดี และสวน “แคคตัสป้าหนุ่ย คลอง 11” ปทุมธานี ของ คุณนิ่ม-ปฏิมา ศรีนวล 2 สาวอดีตพนักงานออฟฟิศที่หลงใหลในแค็กตัสตั้งแต่สมัยเรียน เริ่มสะสม เรียนรู้นิสัยของแต่ละสายพันธุ์ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง สู่งานอดิเรกสร้างรายได้หลักหมื่น จนกลายเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้หลักแสน โดยจุดเด่นของสวน “แคคตัสลุงเหน่” และสวน “แคคตัสป้าหนุ่ย คลอง 11” นอกจากจะขายแค็กตัสหลากหลายสายพันธุ์ในราคาย่อมเยาแล้วยังส่งต่อความจริงใจกับลูกค้า เพราะหากต้นไหนรากยังไม่แข็งแรง จะไม่นำออกมาขายให้ลูกค้าเด็ดขาด และนับเป็นโอกาสดีที่คุณจิ๊บและคุณนิ่มยินดีส่งต่อความรู้และประสบการณ์กว่า 20 ปี คุณจิ๊บ เล่าถึงที่มาที่ไปของการเข้าสู่วงการแค็กตัสว่า ด้วยความที่คุณปู่คุณย่าทำสวนส้มมาก่อน แต่พอมารุ่นคุณพ่อคุณแม่ก็เปลี่ยนอาชีพ แต่ด้วยความรักต้นไม้อยู่ในสายเลือด จึงทำให้ชอบปลูกต้นไม้โดยเฉพาะแค็กตัส ซื้อมาประดับบ้านตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา ด้วยราคาที่หาซื้อได้ง่าย 5 บาท 10 บาท ก็เลยเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แต่พอเริ่มทำงานออฟฟิศก็นำแค็กตัสมาเลี้ยงที่โต๊