กระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จัดประชุมเสวนาทางวิชาการเพื่อเผยแพร่และขยายผลการดำเนินงาน “ศูนย์กลางองค์ความรู้ต้นแบบด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด” ซึ่งได้รับเกียรติจาก พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การบูรณาการความร่วมมือแบบไร้รอยต่อเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด” โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวถึงทิศทางของ วช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมด้วย พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ให้การต้อนรับ และ ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรีหญิง ดร.พัชรา สินลอยมา หัวหน้าศูนย์ PSDP-Hub ได้กล่าวถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานของศูนย์ ณ ห้องประชุมเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง บทบาทของกระทรวงยุติธรรมกับการส่งเสริมหลักนิติธรรมของประเทศไทย การแก้ปัญหาอาชญากรรม ซึ่งอาชญากรรมเป็นภยันตรายต่อสังคมและต่อความสงบสุขของประชาชน ดังนั้น การบูรณาการความร่วมมือ
(19 กันยายน 2565) กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มอบรางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน” ระดับดีเด่น ประจำปี 2565 (Human Rights Awards 2022) ประเภทองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ แก่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำองค์กรที่มีความโดดเด่นและเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับภาคธุรกิจไทย ในการนำหลักการสิทธิมนุษยชนมาเป็นพื้นฐานในการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมความเสมอภาคและยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย พร้อมขยายผลต่อยอดไปยังองค์กรพันธมิตรธุรกิจและสังคม โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบโล่รางวัล แก่ นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และ นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์ ซีพีเอฟ เป็นผู้แทนบริษัทฯ รับมอบโล่รางวัล ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหาร ทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ กล่าวว่า สิทธิมนุษยชน เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนข
หวังชาวบ้านริเริ่มพัฒนาต่อยอดกระท่อม อัพเกรดผลิตภัณฑ์สร้างอาชีพเป็นรายได้ ขอบคุณชาวใต้เปลี่ยนใบไม้เป็นเงิน “สมบัติ” ยันช่วยหนุนสร้างโอกาสพัฒนาพืชเกษตร แนะ อว. ร่วมมือ มหาวิทยาลัยวิจัยยกระดับนวัตกรรมให้มากขึ้น เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร จากการจัดงานพืชกระท่อมสร้างเศรษฐกิจไทย ใช้อย่างไรให้มีคุณค่าและยั่งยืน 4 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุงนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การปลดล็อกกระท่อมได้ดำเนินมา 8-9 เดือนแล้ว แนวทางการปลดล็อกมีพี่น้องประชาชนช่วยกันผลักดัน มี 152 หมู่บ้านที่อนุรักษ์ไว้เพื่อให้เราศึกษา วันนี้คนมีความต้องการใบกระท่อมมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะชาวใต้เท่านั้น แต่ภาคเหนือและอีสานก็ต้องการเช่นกัน แต่ตนเองเกรงว่าหากปลูกมากไป สักวันหนึ่งราคาจะตก เราจะทำยังไงให้กระท่อมมีมูลค่าเพิ่ม แนวทางของการเพิ่มมูลค่ายังต้องทำต่อไป วันนี้เราต้องพึ่งมหาวิทยาลัยในการทำวิจัย เพื่อให้รู้ว่าจะต่อยอดแล้วทำอย่างไรต่อไป ซึ่งประเทศไทยเป็นพื้นที่เหมาะสมมากในการเพาะปลูก มีความพร้อม เราจะขยายให้กระท่อมเดินไปข้างหน้าได้ “ประเทศเราขาดโอกาสพัฒนาพืชเกษตรให้มีค
พืชกระท่อม (kratom) เป็นพืชวงค์เดียวกับกาแฟ พืชกระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นสีเทา ลำต้นของกระท่อมมีลักษณะตรง แตกกิ่งก้านน้อย ลักษณะเป็นใบเดี่ยว เรียงเป็นคู่ตรงกันข้าม ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม เส้นใบเป็นสีแดง เรียก ชนิดก้านแดง เส้นใบเป็นสีเขียว เรียก ชนิดก้านเขียว บางชนิดอาจมีปลายใบเป็นหยัก เรียก ชนิดหางกั้ง หรือยักษ์ใหญ่ ต้นกระท่อม สามารถพบได้ทั่วไปในป่าธรรมชาติตั้งแต่ภาคใต้ตอนบนจนถึงตอนล่าง พืชกระท่อมจัดเป็นประจำถิ่นของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาบสมุทรมลายู มาเลเซียเกาะบอร์เนียว สุมาตรา นิวกินี และฟิลิปปินส์ พืชกระท่อมใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ เมล็ดที่มีปีกบาง จะสามารถปลิวไปได้ไกลตามแรงลม และสามารถแขวนลอยไปกับน้ำได้ง่าย จึงพบต้นกระท่อมได้ตามริมลำธาร โดยเฉพาะดินชื้นแฉะ เนื่องจากพืชกระท่อมจัดเป็นพืชเสพติดให้โทษจึงไม่มีการศึกษาวิธีการขยายพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป เกษตรกรนิยมเพาะต้นกล้าจากเมล็ดจนได้ต้นกล้าสูง 15-20 เซนติเมตร ย้ายไปปลูกในพื้นที่ที่มีความชุ่มชื้นที่เหมาะสม และสามารถใช้วิธีการติดตา ทาบกิ่ง กับต้นตอที่มีความแข็งแรง รวมไปถึ
สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center: THAC) และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการไกล่เกลี่ยหรือประนอมข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากนายประสาร มหาลี้ตระกูล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานและกล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่หน่วยงานทั้งสองได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน บันทึกความตกลง หรือ MOU ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกในการระงับข้อพิพาททางเลือกให้เป็นไปโดยรวดเร็วเข้าถึงง่ายประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ โดยที่กระบวนการทั้งหมดดำเนินการบนระบบออนไลน์หรือที่เรียกว่า Online Dispute Resolution : ODR ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรการอบรมผู้ไกล่เกลี่ย และผู้ประนอม ของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การบรรลุพันธกิจด้านการพัฒนาและส่งเสริมระบบการไกล่เกลี่ยหรือประนอมข้อพิพาทของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไปอย่างยั่งยืนอีกด้วย นายประสาร มหาลี้ตระกูล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวแ
กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามความร่วมมือ กับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ในการฝึกอาชีพให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ เช่น “เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ” อ.เขาสมิง จ.ตราด ได้มีทักษะความรู้ ประสบการณ์เรื่องการปลูกหม่อนและเเปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหม เพื่อเป็นแนวทางสร้างอาชีพเลี้ยงตนเอง พบว่า ผู้ต้องขัง ที่เข้าร่วมโครงการเมื่อพ้นโทษออกไปแล้ว ส่วนใหญ่สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประกอบอาชีพการเกษตร โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต นางสาวศิริพร บุญชู อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า กรมหม่อนไหม ได้ร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ คืนคนดีสู่สังคม โดยจัดอบรมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแก่ผู้ต้องขังก่อนการปลดปล่อย เพื่อมีความรู้ติดตัวไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สำหรับเรือนจำที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอ กรมหม่อนไหมจะเข้าไปส่งเสริมความรู้การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกหม่อนผลสด สาวเส้นไหม ฟอกย้อมสีเส้นไหม ทอผ้าไหม และแปรรูปผลิตภัณฑ์ หลายอย่าง อาทิ ชาหม่อน แปรรูปหม่อนผล ผลิตรังไหมสดเพื่อจำหน่าย ฯลฯ