การปฐมพยาบาล
รองศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ไชยพร ยุกเซ็น หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีผู้บาดเจ็บ หากรอคอยแต่การช่วยเหลือจากทีมแพทย์ฉุกเฉินอาจไม่ทันกาล วิธีที่ดีสุดที่จะไม่นำไปสู่การสูญเสียหรือบาดเจ็บรุนแรงคือ การฝึกทักษะเพื่อการดูแลตัวเอง และผู้ประสบเหตุ ตลอดจนเรียนรู้กลไกและวิธีป้องกันอุบัติเหตุ เพราะนาทีแห่งวิกฤต ไม่ใช่ช่วงเวลาของการลองผิดลองถูกหากได้เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาล ห้ามเลือด ปั๊มหัวใจ การแจ้งเหตุฉุกเฉิน และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอย่างถูกวิธี ก็จะสามารถช่วยชีวิตตัวเองและผู้อื่นได้ไม่ยาก ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ต่อยอดหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาฉุกเฉินทางการแพทย์ เพื่อขยายผลสู่ภาคประชาชน สู่รายวิชาออนไลน์เพื่อฝึกทักษะการดูแลผู้บาดเจ็บนอกโรงพยาบาลในระดับเบื้องต้น รองศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ไชยพร เตือนกรณีที่เข้าใจกันคลาดเคลื่อนว่าจะต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บในทันทีที่เกิดเหตุ ซึ่งหากทำโดยไม่จำเป็นและไม่ถูกวิธี อาจยิ่งทำให้เป็นอันตราย ในขณะที่หากมีการบาดเจ็บที่จะต้
จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยถูกงูกัดประมาณ 7,000 ราย ต่อปี ซึ่งในประเทศไทยก็พบงูพิษหลากหลายชนิด โดยจะแบ่งเป็นหลักๆ ตามระบบที่ถูกพิษ ได้แก่ พิษต่อระบบประสาท (neurotoxin) เช่น งูเห่า งูจงอาง พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin) เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา พิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) เช่น งูทะเล พิษอ่อน สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด ขั้นแรกคือ การยืนยันว่าถูกงูพิษกัด ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักชนิดของงูหรือการนำงูพิษมาด้วย หรือการดูรอยเขี้ยว ดูอาการและอาการแสดงจำเพาะของการถูกงูพิษกัด การทำ serodiagnosis จากตัวอย่างเลือด แต่อย่างไรก็ตาม งูพิษจะไม่ปล่อยพิษทุกครั้งหลังฉกกัด เพราะพิษของงูมีไว้ล่าเหยื่อหาอาหาร การปฐมพยาบาล ควรให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ถูกกัด ล้างแผลให้สะอาด นำงูไปโรงพยาบาลด้วยหากทำได้ แต่ในกรณีที่งูหนีไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม เนื่องจากแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ ห้ามดูดพิษงูด้วยปากหรือกรีดแผล ในระบบของการแพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไป ถ้าคนไข้ถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด แพทย์จะยังไม่ฉีดเซรุ่มให้ ต้องรอดูอาการจนกว่าจะมีอาการทา