ขบวนการลักลอบนำเข้าหมู
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ปริมาณเนื้อสุกรไม่เพียงพออยู่แล้ว เนื่องจากเป็นพื้นที่แรกที่เสียหายจากการระบาดของโรค ASF ในสุกร จากปกติปริมาณสุกรเข้าโรงฆ่าในพื้นที่อยู่ที่ 2,000-3,000 ตัว ต่อวัน โดยปี 2564 มีการนำเข้าซากสุกรที่เชือดแล้วจากพื้นที่อื่นของประเทศ ประมาณ 2-3 ล้านกิโลกรัม ต่อเดือน แต่ปรากฏว่าเดือนมกราคมปีนี้ มีซากสุกรที่เชือดแล้วเข้ามาในพื้นที่มากถึง 8 ล้านกิโลกรัม ส่งผลกระทบต่อยอดขายสุกรมีชีวิตในฟาร์มเริ่มออกช้าลงประมาณ 30-50% เกษตรกรต้องเลี้ยงสุกรต่อไปทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น ราคาหน้าฟาร์มมีทิศทางที่จะอ่อนตัว “พบว่าเมื่อ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีร้านจำหน่ายปลีกหมูของโบรกเกอร์รายหนึ่ง โฆษณาขายเนื้อหมูส่วนสะโพกราคากิโลกรัมละ 150 บาท หัวไหล่ 135 บาท เมื่อตรวจที่บรรจุภัณฑ์กลับพบว่าผลิตเมื่อปี 2020 เท่ากับเป็นหมูตกค้าง จึงเกรงว่าจะมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือที่ร้ายที่สุดคือเป็นหมูจากประเทศที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงได้” นายสุนทราภรณ์ กล่าว ขณะที่ นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีขบวนการลักลอบนำเข้าหมูจากประเทศเพื่อนบ้านในหลายจังหวัด โดยเฉพาะแถบภาคอีสาน เพื่อนำมาขายปะปนกับหมูไทย จากกลุ่มไอ้โม่งที่ทำมาหาทำกินบนความทุกข์ของคนเลี้ยงหมูและคนไทย ทำให้ประชาชนต้องเสี่ยงกับการได้รับสารเร่งเนื้อแดงและสารปนเปื้อนอื่นๆ ในเนื้อหมูลักลอบที่ไม่รู้แหล่งที่มา ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบโรคตามข้อกำหนดและผิดกฎหมายไทย ขณะเดียวกัน ยังเสี่ยงกับโรคหมูที่จะติดมากับผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะสร้างความเสียหายและซ้ำเติมวิกฤติในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูไทยอย่างมาก ที่สำคัญรัฐต้องสูญเสียรายได้จากสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีตามระบบ หมูผิดกฎหมายนี้จึงสร้างกระทบกับเศรษฐกิจของไทยอย่างที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ เพราะทำให้คนไทยตายผ่อนส่ง คนเลี้ยงหมูตายสนิท และเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ เกษตรกรขอเรียกร้องให้ภาครัฐเข้มงวดกวดขันและเร่งกวาดล้างขบวนการนี้โดยเร็วที่สุด รวมถึงคนเลี้ยงหมู ผู้บริโภค และประชาชน ที่ทราบเบาะแสช่วยกันชี้เป้าแก่เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเร่งจับกุมเอาผิดต่อไป “วันนี้การบริหารจัดการด้านการป้องกันโรค ASF ในหมู กำลังดำเนินก
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในปัจจุบันว่า จากปัญหา ASF โรคระบาดในสุกรที่พบในประเทศไทยเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังคงพบปัญหานี้บางพื้นที่ ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงต่างระมัดระวังและบริหารความเสี่ยงด้วยการหยุดเข้าเลี้ยงสุกรไปก่อน ส่วนในรายที่ยังคงเลี้ยงสุกรอยู่ต้องปรับวิธีการเลี้ยงและการจัดการป้องกันโรคอย่างเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 300 บาทต่อตัว ซึ่งเกษตรกรยินดีแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดในฝูงสัตว์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม กลับพบว่ายังคงมี “ขบวนการลักลอบ” นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนผิดกฎหมายจากหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี บราซิล แคนาดา อิตาลี เกาหลี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา โดยสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่น อาทิ เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเล นำมากระจายขายปะปนกับหมูไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดแถวนครปฐมและราชบุรี ซึ่งถือเป็นการบ่อนทำลายเกษตรกรไทย ผู้บริโภค และเศรษฐกิจชาติ “เกษตรกรขอเรียกร้องให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ เร่งสกั