ขึ้นฉ่าย
เกษตรกรบริเวณชุมชนท่าตะโก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีเกษตรกรทำแปลงผักจำนวนมาก โดยมีการปลูกผักหลายชนิด อาทิ ผักชี ผักขึ้นฉ่าย ผักคะน้า โหระพา และกะเพรา เป็นต้น อากาศร้อนจัด แดดแรงมาก ผักขึ้นฉ่ายแห้งตายยกแปลง เสียหายนับแสนบาท ดันราคาสูงขึ้น กิโลกรัมละ 160 บาท โดยพบว่าเกษตรกรได้ทิ้งให้แปลงผักว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากช่วงนี้สภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลกระทบทำให้ผักหลายชนิดไม่เติบโต และได้รับความเสียหายถูกแดดเผาตายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผักที่มีใบอ่อน เช่น ผักชี และผักขึ้นฉ่าย ซึ่งพบว่า ถูกแดดเผาต้นและใบเหี่ยวเฉาตายทุกแปลง จนเกษตรกรหลายรายถอดใจต้องปล่อยทิ้งให้เหี่ยวตายไปหมด เนื่องจากไม่สามารถดูแลรักษาถึงช่วงเก็บเกี่ยวไปขายได้ ยังคงเหลือเพียงผักบางชนิด เช่น กะเพรา และโหระพา ที่มีใบทนแดดได้ดี ที่สามารถเก็บไปขายได้ในช่วงนี้ แม้ว่าโหระพาจะได้ราคาไม่สูงมากนัก ราคาขายกิโลกรัมละ 40 บาทเท่านั้น นางสำรวย โมมขุนทด อายุ 60 ปี เกษตรกรชาวชุมชนท่าตะโก เปิดเผยว่า ปีนี้แดดแรงมาก อากาศร้อนกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้ผักหลายชนิดไม่เติบโต ขณะเดียวกัน ผักชีและผักขึ้นฉ่ายซึ่งเป็นผักใบอ่อน ทนแด
พนักงานบริษัทหนุ่มวัย 34 ปี ในพื้นที่บ้านสันขะเจ๊าะ หมู่ที่ 14 ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานประจำปลูกขึ้นฉ่ายลอยฟ้าไฮโดรโปนิกส์แบบน้ำไหล ซึ่งเป็นผักสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม นิยมใช้ในการปรุงอาหารเพิ่มความหอมของน้ำซุป สร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัว 8,000-10,000 บาท ต่อเดือน โดยผักที่ปลูกนั้นจะเน้นใช้สารชีวภาพ จนเป็นที่ต้องการของตลาด ขึ้นฉ่ายเป็นผักที่มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำน้ำซุป แกงจืด คุณพรชัย คำมี หนุ่มวัย 34 ปี อยู่บ้านสันขะเจ๊าะ หมู่ที่ 14 ตำบลท่าวังทอง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา นำผู้สื่อข่าวเข้าดูแปลงปลูกขึ้นฉ่ายลอยฟ้าไฮโดรโปนิกแบบน้ำไหลที่ปลูกไว้ในพื้นที่หน้าบ้านของตนเอง โดยเริ่มต้นขั้นตอนจากการซื้อเมล็ดพันธุ์ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด นำมาเพาะเมล็ดพันธุ์ในที่ร่ม และอนุบาลผักจนถึงนำมาปลูกในขั้นตอนระบบน้ำไหลวนบนท่อพีวีซีกว่า 2,000 หลุม โดยทำการบริหารจัดการตามขั้นตอนการปลูกการบำรุงรักษา จนสามารถทำให้ขึ้นฉ่ายที่ปลูกไว้โตได้อย่างรวดเร็วและสวยงาม รวมทั้งเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ละวันก็จะสามารถผลัดเปลี่ยนเก็บผลผลิตได้ทุกวันจนสามารถสร้างรายได้ให้เป็นอย่างดี มีพ่อค้า
หนุ่มวัย 34 ปี ในพื้นที่ หมู่ที่ 17 ตำบลแม่นาเรือ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา หันหลังให้กับการทำงานประจำ ปลูกขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิก ซึ่งเป็นผักที่ค่อนข้างหายากในพื้นที่พะเยา ขายสร้างรายได้ วันละกว่า 1,000 บาท โดยผักที่ปลูกนั้นจากนี้จะทดลองใช้สารชีวภาพ ขณะเป็นที่ต้องการของตลาด สามารถส่งจำหน่ายได้ทุกวัน ลองไปดูข้อมูลทางวิชาการกันก่อน ขึ้นฉ่าย เป็นพืชที่เดิมทีพบอยู่ที่ตามริมน้ำในประเทศสวีเดน แอลจีเรีย และอียิปต์ และพบบ้างในบางพื้นที่แถบเอเชีย ซึ่งได้มีการนำผักชนิดนี้มาปลูกเมื่อประมาณ ค.ศ. 1542 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในการทำยาฟอกโลหิตของชาวจีน และเริ่มนำมาใช้เป็นอาหารเมื่อราวปลายศตวรรษที่ 16 โดยใช้พันธุ์ hellow leaf stock ต่อมามีพันธุ์อื่นๆ มาแทน จึงเลิกนิยมไป ในสมัยที่ใช้รับประทานกันแรกๆ นิยมส่วนที่มีสีเขียว ต่อมากลับนิยมส่วนที่เป็นสีขาว พันธุ์ที่ดีจะมีการแตกแขนงมาก ขึ้นฉ่ายเป็นผักที่มีวิตามิน เอ สูง ก้านใบของต้นจะอวบน้ำ มีรากตื้น ระบบรากเป็นฝอย รากฝอยนี้มีความยาวไม่เกิน 2 นิ้ว ลำต้นโตเต็มที่สูงสุดถึง 2 ฟุต แต่โดยเฉลี่ยจะสูงประมาณ 15 นิ้ว มักนิยมปลูกให้ชิดๆ กัน เพื่อให้ลำต้นสูง และเพื่อเป็นการบั
ที่บ้านเลขที่ 49/3 หมู่ 5 ต.ตะเสะ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง นางภัชรวดี เจริญฤทธิ์ อายุ 43 ปี หันมาใช้พื้นที่ว่างข้างบ้าน ประมาณ 2 งาน เพื่อปลูกขึ้นฉ่ายจีนแบบไร้ดินจำนวนหลายพันต้น โดยใช้ระบบน้ำไหลเวียนให้ปุ๋ยอินทรีย์ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใช้เวลาปลูกประมาณ 50 วัน ก็สามารถเก็บขายได้ ในราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท แต่หากเป็นหน้าฝนขึ้นฉ่ายก็จะมีราคาสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 160-180 บาท หรือกว่า 1 เท่าตัว ซึ่งหลังทดลองปลูกเป็นรายแรกใน อ.หาดสำราญ จ.ตรัง จนประสบความสำเร็จ จึงได้ขยายโรงเรือนเพิ่มอีกจำนวนหลายหลังในพื้นที่ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งปลูกขายมาแล้วกว่า 1 ปี สามารถเก็บขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 50-100 กิโลกรัม สร้างรายได้กว่า 5,000 บาท ต่อวัน นางภัชรวดี เป็นภรรยาของ พ.ต.ท.นายหนึ่ง สังกัด สภ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช แต่หันมาคิดต่างด้วยการใช้ที่ดินของตน ปลูกขึ้นฉ่าย ซึ่งเกษตรกรรายอื่นใน อ.หาดสำราญ ยังไม่มีใครปลูก เพราะคิดว่าการปลูกแบบไร้ดินจะดูแลยุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า แต่ความจริงแล้ว เป็นการลงทุนแค่ครั้งเดียว สำหรับค่าวัสดุอุปกรณ์ ส่วนระยะเวลาการปลูกแบบไร้ดินก็
ช่วงที่ยางพาราราคาตกต่ำต่อเนื่อง เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ต่างหาช่องทางสร้างรายได้ใหม่ทดแทน ในจำนวนนั้นการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับการยืนยันจาก “พิโชติ ผุดผ่อง” ผู้ประกอบการและเกษตรกร ผู้นำเครือข่ายปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ว่าสามารถสร้างรายได้ดีกว่าการปลูกยาง และประสบความสำเร็จงดงาม ถึงขั้นที่ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ “เทสโก้ โลตัส” เลือกให้เป็นคู่ค้ารายใหญ่ “พิโชติ” เล่าให้ฟังว่า ตนเองเรียนจบทางด้านเกษตรกรรม แต่ไม่มีความคิดจะทำสวนยาง เพราะเห็นว่าราคายางตกต่ำ หลังจบการศึกษาจึงประกอบอาชีพด้านการเกษตรโดยเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และที่นี่เองที่ทำให้ได้มีโอกาสสะสมองค์ความรู้ด้านการปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตเป็นพนักงานบริษัท 5 ปีเต็ม ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาข้อมูลความต้องการของตลาดไปด้วยพร้อม ๆ กัน พบว่า ขึ้นฉ่ายไฮโดรโพนิกส์ มีราคาดี ขณะที่รอบการปลูกใช้เวลาไม่นาน นอกจากนั้น การปลูกผักไฮโดรโพนิกส์ยังใช้อุปกรณ์ปลูกที่ยกสูงจากพื้น ทำให้การป้องกันโรคพืชทำได้ง่าย เพราะการปลูกผักไฮโดรโพ