ฉลามวาฬ
เมื่อไม่นานมานี้ คุณญาติกา แก้วบริสุทธิ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานชุมพร คนใหม่ นำคณะเจ้าหน้าที่ ททท. สำนักงานชุมพร และสื่อมวลชน รวม 12 คน เดินทางโดยเรือนำเที่ยว ของ “ทุ่งมหากรุ๊ป ท่องเที่ยวชุมชน” ออกจากท่าเทียบเรืออ่าวทุ่งมหา หมู่ที่ 1 บ้านทุ่งมหา ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร (สะพานปลาหลาดเล) มุ่งหน้าสู่เกาะร้านเป็ด และเกาะร้านไก่ ซึ่งถือเป็นจุดดำน้ำชมปะการัง ทั้งปะการังน้ำลึก และปะการังน้ำตื้นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของฝั่งอ่าวไทย โดยทั้งสองเกาะอยู่ใกล้กัน และห่างจากฝั่งประมาณ 9-10 กิโลเมตร เพื่อร่วมกันหาแนวทางประชาสัมพันธ์จุดดำน้ำชมปะการังทั้งสองเกาะให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมากขึ้น เกาะร้านเป็ด และ เกาะร้านไก่ เป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก ไม่มีชายหาด ไม่มีบ้านพัก และไม่มีคนอยู่อาศัย มีเพียงนกอาศัยอยู่เท่านั้น โดยเฉพาะนกนางแอ่นที่มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งสองเกาะถูกปกคลุมด้วยต้นไม้นานาชนิด ใต้ทะเลรอบๆ เกาะมีปะการังที่สวยงาม หากดำน้ำลึกสามารถดำลงไปได้ลึกประมาณ 30 เมตร ส่วนปะการังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะความลึกประมาณ 3-5 เมตร ส่
เรื่องสะเทือนใจนักอนุรักษ์ เมื่อเฟซบุ๊คคุณ Sunshine Sketcher ได้โพสต์เรื่องราวและภาพเหตุการณ์ฉลามวาฬถูกตัดครีบชุดนี้ถูกบันทึกได้จาก Libas เมือง Roxas ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ทางการฟิลิปปินส์กำลังสืบสวนว่าใครคือผู้ลงมือ ฉลามวาฬเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์และได้รับการคุ้มครองทั้งโดยกฏหมายภายในประเทศ และอนุสัญญาระหว่างประเทศ (CITES Appendix II) 75% ของประชากรฉลามวาฬพบในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อีก 25% พบในแอตแลนติก การประเมินข้อมูลในช่วง 75 ปีที่ผ่านมา (สามช่วงรุ่น) พบว่าฉลามวาฬมีแนวโน้มลดจำนวนลง 40-92% ขึ้นอยู่กับชุดข้อมูลของแต่ละพื้นที่ ในเอเชีย-แปซิฟิกมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย 63% ทำให้ฉลามวาฬถูกยกระดับจากเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (Vulnerable) เป็นใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) ตามการประเมินล่าสุดของบัญชีแดง IUCN Red List of Threatened Species ครีบฉลามวาฬเมื่อถูกแปรรูปแล้ว ถูกทำให้แห้งและส่งขายไปยังตลาดค้าหูฉลามที่มีขนาดใหญ่ เช่น จีน และประเทศไทย เร็วๆ นี้มีการพบหูฉลามวาฬจำหน่ายอย่างเปิดเผยที่เยาวราช (ในภาพที่ 3) แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมได้ เพราะ
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน หลังจากที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท.1 ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 5.5 ล้านบาท ในการนำเรือรบหลวงช้าง เรือรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กองทัพเรือได้ปลดประจำการและมอบให้กับจ.ตราด ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เป็นแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ของจังหวัด และเป็นจุดดำน้ำที่เป็นเรือรบที่ใหญ่สุดในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือช้าง นายสุธารักษ์ สุนทรวิภาต ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง กล่าวว่า หลังจากนำเรือช้างมาจมที่ทะเลตราด ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดำน้ำ เดินทางมาสัมผัสการดำน้ำแห่งใหม่ของ จ.ตราด โดยจากการเก็บสถิติครั้งล่าสุดเดือนตุลาคม 2559-ตุลาคม 2560 ปรากฏว่ามีนักดำน้ำเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 50 คน สูงสุดอาจจะถึง 100 คนต่อวัน เบื้องต้นประมาณการรายได้ไม่ต่ำกว่า 36 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นายคริสเทล โกลสเทน เจ้าของธุรกิจดำน้ำ บีบีไดเวอร์ เปิดเผยว่า มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศสนใจเดินทางมาดำน้ำบริเวณเรือช้างอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายวิเชียร สิงโตทอง อายุ 58 ปี เจ้าของบริษัท นำเที่ยวเดอะทอยทัวร์ ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ได้พานักดำน้ำจากกรุงเทพฯจำนวน 40 คนลงเรือ ไปยังจุดบริเวณเกาะหินเพลิง กลางทะเล ห่างจากฝั่งด้านแหลมแม่พิมพ์ ไปทางทิศใต้ระยะทาง 13 ไมล์ทะเล ลงดำดูปะการัง โดยใช้เวลา1ชั่วโมง 45 นาที ระหว่างทิ้งสมอจอดเรือ ขณะที่นักดำน้ำเตรียมพร้อมที่จะลงดำน้ำ พบฉลามวาฬ 2 ตัวแม่ลูก ว่ายเข้ามาใกล้เรือ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักดำน้ำ จึงถ่ายรูปฉลามวาฬไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้ ฉลามวาฬดังกล่าวมีขนาดความยาว 7 เมตร 1 ตัวและขนาด 4 เมตร แหวกว่ายไปมารอบบริเวณเรือนาน 1 ชม.จากนั้นได้ดำน้ำหายไป ด้านครูแอ๋ว ที่พานักดำน้ำมาครั้งนี้กล่าวว่าบรรยากาศทะเลวันนี้คลื่นลมสงบทะเลราบเรียบเหมือนกระจกน้ำใส ทะเลมีแพลงตอนสำหรับเป็นอาหารของปลาขนาดใหญ่เช่นฉลามวาฬ ซึ่งฤดูนี้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ปลาฉลามวาฬมักจะเข้ามาหากินแพลงตอนในแถบทะเลระยองและจะวนเวียนไปแถบบริเวณเกาะช้าง จ.ตราด