ตลาดส่งออก
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความสำเร็จในการเจรจากับนายฟรานซิสโก พี. ติอู ลอเรล จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบ เช่น ไก่และเป็ดจากประเทศไทยไปยังฟิลิปปินส์ ซึ่งล่าสุดได้รับข่าวดีจากกรมปศุสัตว์ว่า ทางการฟิลิปปินส์ได้ให้การรับรองสถานประกอบการของไทยแล้ว 2 แห่ง นางนฤมลกล่าวว่า หน่วยงานกองบริการกักกันสัตวแพทย์แห่งชาติ ภายใต้สำนักงานปศุสัตว์และอุตสาหกรรมสัตว์ หรือ BAI ของฟิลิปปินส์ ได้ให้การรับรองสถานประกอบการไทย ได้แก่ EST.14 บริษัท บางกอกแรนช์ และ EST.79 บริษัท พนัสโพลทรี่ ให้สามารถส่งออกเนื้อสัตว์ปีกดิบได้อย่างเป็นทางการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ และขั้นตอนสุดท้ายคือการพิจารณารูปแบบใบรับรองสุขภาพ (Health Certificate) ที่กรมปศุสัตว์จะจัดส่งร่างให้ BAI พิจารณาโดยเร็ว “นี่คือความก้าวหน้าครั้งสำคัญ เพราะที่ผ่านมาไทยส่งออกได้เฉพาะไก่สุกเท่านั้น การเปิดตลาดเนื้อสัตว์ปีกดิบจึงถือเป็นครั้งแรกที่ไทยสามารถเจาะตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าไก่สุกมาก”
สวพ.6 กรมวิชาการเกษตร ประกาศวันทุเรียนแก่ “10 เม.ย. 64” ในพื้นที่ จันทบุรี ระยอง ตราด หวังสกัดการส่งออกทุเรียนอ่อน พร้อมยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยทุเรียน ตั้งแต่สวนทุเรียน โรงบรรจุภัณฑ์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อทุเรียนทั่วโลก นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6) สังกัดกรมวิชาการเกษตร ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรี เปิดเผย “เทคโนโลยีชาวบ้าน” ว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา สวพ.6 ได้ประชุมร่วมกับชาวสวนทุเรียน สมาคมทุเรียนไทย ผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน เพื่อคุมเข้มการส่งออกทุเรียนอ่อน นอกเหนือจากใช้มาตรการปกติที่ใช้กันมาทุกปี ซึ่งปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่ประชุมมีมติให้ประกาศ “วันทุเรียนแก่” ของทุเรียนหมอนทอง เพื่อให้เกษตรกร ล้ง และผู้ส่งออก รับรู้ทั่วกันอย่างเป็นทางการ สาเหตุที่เลือก “วันที่ 10 เมษายน 2564” เป็นวันทุเรียนแก่ เนื่องจาก แหล่งปลูกทุเรียนหมอนทองส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออก คือ จันทบุรี ระยอง และตราด จะมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจ
เบทาโกร หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหาร ลั่นเดินหน้ายกระดับคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารเต็มรูปแบบ ชูผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปพร้อมรับประทาน ที่หลากหลายมากกว่า 1,000 รายการ ด้วยกำลังการผลิต 8,000 ตัน ต่อปี จาก Betagro Central Kitchen นวนคร ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสังคมเมืองที่ต้องการความสะดวก อร่อย หลากหลาย และมีคุณภาพ พร้อมรุกตลาดส่งออกด้วยสินค้าคุณภาพ ปลอดภัยระดับพรีเมียม ที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน และสารเร่งเนื้อแดงในกระบวนการผลิต และขยายกำลังการผลิตไก่ปรุงสุก ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น นายสมศักดิ์ บุญลาภ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ปี 2561 เป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จของเบทาโกร ด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ การเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหญ่ “ไส้กรอกรมควันเบทาโกร – อร่อยใช่ สัมผัสไหนก็โดน” โดยมี โป๊ป-ธนวรรธน์ เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของผลิตภัณฑ์ไส้กรอกแบรนด์เบทาโกร สามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์ไส้กรอกรมควันเบทาโกรในตลาดได้ถึง 93% และมีการบริโภคเป็นประจำเพิ่มสูงถึง 45% (ผลการวิจัยผู้บริโภค 300 คน โดยวัดจากการรับประทานสินค้าทุก 1 สัปดาห์ เป็นประจำ) ช่วยดันยอด
นายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช นายกสมาคมการค้ามันสําปะหลังไทย กล่าวถึง แนวโน้มการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ในช่วงไตรมาส 2 ว่า จะลดลงต่อเนื่องจาก ไตรมาส 1/2562 ที่ส่งออกติดลบ -40% หรือส่งออกได้ปริมาณ 1,813,000 ตัน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณซัพพลาย มันสําปะหลังลดลงจากเกิดปัญหาราคา ตกต่ำเมื่อปี 2558 ทําให้เกษตรกรหันไปปลูกอ้อยแทน ประกอบกับการนําเข้าวัตถุดิบมันสําปะหลังจากเพื่อนบ้านไม่ได้เช่นทุกๆ ปี เพราะผลผลิตมันสําปะหลังของกัมพูชาลดลงจากการระบาดของโรคใบด่าง และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น “ราคามันเส้นปรับตัวสูงขึ้น จากต้นปี 200 เหรียญ ก็เป็น 215-220 เหรียญ/ตัน ราคานี้ลูกค้าจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเรารับไม่ได้ และชะลอการสั่งซื้อออกไป ทําให้ยอดส่งออกทั้งปี ปีนี้จะติดลบถึง -30%” นายบุญชัย ระบุ ขณะเดียวกัน สำหรับกระแสข่าวว่าจีนจะไม่ซื้อมันสำปะหลังไทย นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังจากมีกระแสข่าวดังกล่าว โดยพบว่าจีนยังคงมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในภาค
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวโพดหวานและผลิตภัณฑ์ ช่วง 11 เดือน ของปี 2561 มีปริมาณ 236,775.6 ตัน เพิ่มขึ้น 6.7% มูลค่า 7,329.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% โดยเป็นการส่งออกไปญี่ปุ่นมากเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วน 26.5% ของมูลค่าการส่งออก รองลงมา ได้แก่ เกาหลีใต้ 10.2% และไต้หวัน 10.1% จึงทำให้การส่งออกทั้งปี 2561 สูงกว่าปี 2560 ที่ส่งออกรวม 237,559.6 ตัน เพิ่มขึ้น 3.5% แต่คิดเป็นเงินบาทได้มูลค่า 7,664.9 ล้านบาท และ ลดลง 0.6% ผลจากค่าเงินบาทแข็ง “ผลจากการส่งออกข้าวโพดหวานและผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยครองแชมป์ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ตลอดต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศคู่แข่งสำคัญ คือ ฝรั่งเศส ฮังการี และสหรัฐฯ แต่ก็สู้ไทยไม่ได้ เพราะไทยมีศักยภาพในการผลิตข้าวโพดหวานคุณภาพ รสชาติดีกว่า มีการพัฒนาสายพันธุ์ จนเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก อีกทั้งมีข้อได้เปรียบเรื่องสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวโพดหวาน ส่งผลให้มีความได้เปรียบช่วงเวลาการเพาะปลูกที่สามารถปลูกได้หลายครั้งในหนึ่งปี ขณะที่ประเทศคู่แข่งสามารถปลูกได้เพีย
ส้มโอ จัดว่าเป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของไทย นิยมปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ปลูกส้มโอต้องดูแลอย่างไร ตลาดดีแค่ไหน สามารถหาคำตอบได้จาก กิจการสวนส้มโอเงินล้าน ของ คุณปรีชา-คุณพจมาน เศรษฐโภคิน สองสามีภรรยาเจ้าของกิจการส้มโอสวนสระแก้ว ตั้งอยู่เลขที่ 3 หมู่ 4 ถนนสุวรรณศร ตำบลบ้านแก้ง อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ผู้สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมกิจการได้ทุกวัน การเดินทางไปสวนแห่งนี้ไม่ยาก เพราะแค่ใช้เส้นทางถนนสาย 33 หลัก กม. ที่ 223 เกือบจะ 224 ค่ะ สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลัง อบต.บ้านแก้ง อ. เมือง จ. สระแก้ว หากไม่มั่นใจในเส้นทาง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 089-984-2621 หรือค้นหาข้อมูลจากเฟซบุ๊ก “ส้มโอ สวนสระแก้ว” จากมนุษย์เงินเดือนสู่อาชีพเกษตรกร คุณปรีชา เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า ผมเรียนสายสัตวบาล ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน หลังเรียนจบก็ทำงาน ซีพี เมื่อ ปี 2515 นับเป็นพนักงานสัตวบาลรุ่นแรกที่บุกเบิกธุรกิจฟาร์มหมูของซีพี ต่อมาจีนเปิดประเทศ ถูกย้ายไปคุมโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่จีนนาน 18 ปี การงานก้าวหน้าจนได้ตำแหน่ง รองประธานเขตประเทศจีน ก่อนตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณอายุ เพื่อทำอาชีพเกษตรกรรมตามความฝ
ตลาดจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการไทย ในปี 2560 ไทยส่งออกไปจีนเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 995,475 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 19.4% โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ส่งออกเอสเอ็มอี ประมาณ 30% สินค้าที่ส่งออกไปจีนส่วนใหญ่ของเอสเอ็มอีไทย คือ ผลิตภัณฑ์พลาสติก สินค้าโภคภัณฑ์อย่างยางพาราและของที่ทำจากยาง รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (เฟอร์นิเจอร์) พืชผักและผลไม้ และธัญพืช แต่สินค้าเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกของจีนที่หันมาเน้นสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูงมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ทโฟน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องจักรกลต่าง ๆ ซึ่งทำให้ในอนาคตสินค้าหลักของเอสเอ็มอีไทยที่ส่งออกไปจีนน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนมีนโยบาย Made in China 2025 ซึ่งเป็นแผนการพัฒนาประเทศจีนจากการเป็นประเทศผู้รับจ้างผลิตสินค้ารายใหญ่ที่เน้นการผลิตเชิงปริมาณไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกที่เน้นคุณภาพของสินค้าและบริการ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการผลิตของจีนที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมอนาคตดังกล่