ต้นทุเรียน
ในช่วงที่มีลมแรง และมีฝนตกร้อยละ 10-20 ของพื้นที่แบบนี้ กรมวิชาการเกษตร แนะเกษตรกรชาวสวนทุเรียนเฝ้าระวังการระบาดของหนอนเจาะผลทุเรียน มักพบการเข้าทำลายในช่วงที่ต้นทุเรียนอยู่ในระยะติดผล เกษตรกรควรหมั่นสำรวจสวนทุเรียนในระยะนี้ จะพบการเข้าทำลายตั้งแต่ผลทุเรียนยังเล็กอายุประมาณ 2 เดือน จนกระทั่งผลโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว ทำให้ผลทุเรียนเป็นแผล ผลอาจเน่าและร่วงเนื่องจากเชื้อราเข้าทำลายซ้ำ หากหนอนเจาะกินเข้าไปจนถึงเนื้อผล จะทำให้บริเวณนั้นเน่าเมื่อผลสุก โดยจะสังเกตเห็นมูลและรังของหนอนได้อย่างชัดเจนที่บริเวณเปลือกผลทุเรียน เมื่อผลทุเรียนใกล้แก่จะมีน้ำไหลเยิ้ม หนอนจะเข้าทำลายผลทุเรียนที่อยู่ชิดติดกันมากกว่าผลที่อยู่เดี่ยวๆ เพราะผีเสื้อตัวเต็มวัยชอบวางไข่ในบริเวณรอยสัมผัสนี้ ถ้าผลทุเรียนที่มีรอยแมลงทำลาย จะส่งผลทำให้ผลผลิตทุเรียนขายไม่ได้ราคา เกษตรกรควรหมั่นสังเกตตรวจดูผลทุเรียนภายในสวน หากพบรอยทำลายของหนอนเจาะผลทุเรียน ให้ใช้ไม้หรือลวดแข็งเขี่ยตัวหนอนออกมาทำลายทิ้ง จากนั้น ให้ตัดแต่งผลทุเรียนที่มีจำนวนมากเกินไป โดยเฉพาะผลที่อยู่ติดกัน เกษตรกรควรใช้กิ่งไม้หรือกาบมะพร้าวคั่นระหว่างผล เพื่อป้องกัน
สภาพอากาศในระยะที่มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักเป็นบางแห่ง กรมวิชาการเกษตร แนะวิธีรับมือการระบาดของโรครากเน่าและโคนเน่า สามารถพบได้ในระยะที่ต้นทุเรียนแตกใบอ่อน โดยจะพบอาการที่ราก เริ่มแรกเห็นใบที่ปลายกิ่งมีสีซีดไม่เป็นมันเงา ใบเหี่ยวลู่ลง เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้นใบจะเหลืองและหลุดร่วง หากขุดดูที่รากฝอยจะพบรากฝอยมีลักษณะเปลือกล่อน และเปื่อยยุ่ยเป็นสีน้ำตาล กรณีที่โรครุนแรงอาการเน่าจะลามไปยังรากแขนงและโคนต้น ทำให้ต้นทุเรียนโทรมและยืนต้นตาย ส่วนอาการที่กิ่ง ลำต้น และโคนต้น ระยะแรกจะพบต้นทุเรียนมีใบเหลืองเป็นบางกิ่ง สามารถสังเกตเห็นรอยคล้ายคราบน้ำ บนผิวเปลือกของกิ่งหรือต้น ในช่วงเช้าที่มีอากาศชื้นอาจเห็นเป็นหยดของเหลวสีน้ำตาลแดงออกมาจากบริเวณแผล และจะค่อยๆ แห้งไปในช่วงที่มีแดดจัด ทำให้เห็นเป็นคราบ เมื่อใช้มีดถากบริเวณคราบนั้น จะพบเนื้อเยื่อเปลือกและเนื้อไม้เป็นแผลสีนํ้าตาล ถ้าแผลขยายใหญ่จะลุกลามจนรอบโคนต้น จะทำให้ต้นทุเรียนใบรวงจนหมดต้นและยืนต้นแห้งตาย อาการที่ใบ ใบช้ำ ดำ มีรอยตายนึ่งคล้ายถูกน้ำร้อนลวก และจะเกิดอาการไหม้แห้งคาต้นอย่างรวดเร็ว พบระบาดมากในช่วงฝนตกหน
น.ส.เพ็ญนภา หัสรังค์ หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกร จ.จันทบุรี พร้อมด้วย นายสุนทร สันติมิตร นายกเทศบาลมนตรีตำบลตกพรม ตลอดจนผู้นำชุมชน ลงพื้นที่เข้าสำรวจความเสียหาย จากเหตุการณ์ พายุฤดูร้อนพัดถล่มสวนผลไม้ ในพื้นที่ ม.1 ม.4 และ ม.9 ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี โดยเฉพาะสวนทุเรียน มีต้นทุเรียนหมอนทองอายุกว่า 30 ปี แต่ละต้นสามารถให้ผลผลิตได้ ต้นละกว่า 40,000 บาท ต่อปี ถูกแรงลมพัดต้นหักโค่นระเนระนาดผลผลิตร่วงหล่นเสียหายโดยรวม เบื้องต้นกว่า 160 ตัน คิดเป็นค่าเสียหาย กว่า 12 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบมีผลผลิตทุเรียนพันธุ์หมอนทองและก้านยาว ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวถูกลมพัดร่วงหล่นกระจายเกลื่อน ความเสียหายคลอบคลุมพื้นที่กว่า 370 ไร่ ใน 3 หมู่บ้าน จากการรวบรวมข้อมูลความเสียหาย จากหลายตำบล คิดเป็นน้ำหนักรวม กว่า 160 ตัน โดยมีเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจำนวน 37 ครัวเรือน และยังรวมไปสิ่งก่อสร้างบ้านพักอาศัยเสียหาย จำนวน 3 หลัง ค่าความเสียหายเบื้องต้นมากกว่า 12,000,000 บาท ขณะที่เกษตรกรชาวสวนบ้างราย ถูกลมพายุพัดกระหน่ำเสียหายไปก่อนหน้านี้ ยังถูกผู้ประกอบการโรงงานทุเรียนทอดกดราคาลง เหลือเพียงกิโลกรัมละไม่ถึง 20 บาท
“โรครากเน่าโคนเน่า” รุกระบาดสวนทุเรียนในเขตพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด ชุมพร และสุราษฎร์ธานี หวั่นผลผลิตทุเรียนเสียหายหนัก กรมวิชาการเกษตรแนะเกษตรกรสวนทุเรียนใช้วิธีป้องกันกำจัดอย่างถูกต้องและเหมาะสม ช่วยแก้ปัญหาตรงจุด ลดความเสียหายของผลผลิต หยุดวงจรการระบาดของโรครากเน่าโคนเน่าได้ผลจริง ดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากปัญหาการระบาดเป็นวงกว้างของโรคทุเรียนในภาคใต้และภาคตะวันออก ส่งผลทำให้ต้นทุเรียนเกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยทุเรียนถือเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ซึ่งปัญหานี้จำเป็นต้องมีแนวทางในการป้องกันกำจัดอย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ดังนั้น กรมวิชาการเกษตรจึงได้ลงพื้นที่ติดตามการระบาดของโรครากเน่าโคนเน่าในสวนทุเรียนเขตพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตราด ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2560 ที่ผ่านมา พบว่าเกษตรกรชาวสวนทุเรียนประสบปัญหาโรครากเน่าโคนเน่าระบาดอย่างรุนแรง เนื่องจากในปีนี้ มีสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ปริมาณน้ำฝนมาก และมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความชื้นในอากาศสูง เกษตรกรหาช่วงจังหวะในการจัดการสวนและพ่นสาร