ทรงพุ่ม
“มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้” เป็นมะม่วงที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการส่งออก เพราะเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลก ในอดีตเรามีญี่ปุ่นเป็นตลาดหลัก แต่ปัจจุบันมะม่วงน้ำดอกไม้ โดยเฉพาะพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง สามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดยุโรป, นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และ จีน เป็นต้น โดยเฉพาะประเทศจีน มีตัวเลขการสั่งซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ในการสร้างตลาดส่งออกให้เข้มแข็งนั้น เกษตรกรชาวสวนจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพของผลผลิตเป็นหลัก และต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง สารเคมีตัวไหนห้ามฉีดก็ต้องไม่ฉีด หรือถ้าผลมะม่วงยังมีความแก่ไม่ตรงตามมาตรฐานก็ต้องห้ามเก็บ เป็นต้น ในการเปิดตาดอก เกษตรกรส่วนมากจะใช้ ไทโอยูเรีย ผสมกับ โพแทสเซียมไนเตรต (13-0-46) จะใช้สูตรเปิดตาดอก สารไทโอยูเรีย 1 กิโลกรัม บวก สาหร่าย-สกัด 300 ซีซี (ต่อน้ำ 200 ลิตร) ฉีดพ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 5 วัน แล้วรอดูการเปลี่ยนแปลงของตายอด โดยปกติแล้วตาดอกจะเริ่มแทงหลังเปิดตาดอกครั้งแรก ประมาณ 10-15 วัน แต่ถ้าเริ่มแทงในวันที่ 3-4 โอกาสเป็นใบอ่อนจะสูงมาก ช่อดอกมะม่วง “ระยะเดือยไก่” ต้องฉีดพ่นล้างโรคและแมลงก่อนดอกจะบา
เมื่อพูดถึงการผลิตลิ้นจี่ของหลายประเทศทั่วโลก จะต้องยอมรับกันว่าประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นต้นแบบของการผลิต และเป็นแหล่งรวบรวมสายพันธุ์ลิ้นจี่คุณภาพดี พันธุ์ลิ้นจี่ของไทยเกือบทุกพันธุ์ล้วนแต่มีรากเหง้าหรือนำสายพันธุ์มาจากจีนทั้งสิ้น ดังนั้น อาจจะกล่าวได้ว่า พันธุ์ลิ้นจี่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้ อยู่ที่ ประเทศจีน ตัวผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานการปลูกลิ้นจี่ในเขตพื้นที่ตอนใต้ของจีน โดยเฉพาะที่มณฑลกวางตุ้งเมื่อหลายปีที่ผ่านมาได้พบเห็นถึงสภาพพื้นที่ปลูกลิ้นจี่จำนวนมหาศาล บางพื้นที่ปลูกกันเต็มภูเขาและที่สำคัญก็คือ ผู้นำประเทศเขาให้ความสำคัญของการปลูกลิ้นจี่เพื่อพัฒนาเป็นไม้ผลส่งออกและดูเหมือนว่าจะเน้นในเรื่องของการผลิตลิ้นจี่แบบปลอดสารพิษด้วย, สภาพพื้นที่ปลูกลิ้นจี่ได้เห็นทั้งสภาพปลูกแบบชาวบ้านจนถึงสภาพแปลงปลูกแบบวิชาการในสถานีทดลองและวิจัยซึ่งมีความก้าวหน้าไปมากทั้งทางด้านสายพันธุ์และระบบการปลูก เพียงแต่งานศึกษาและวิจัยยังเผยแพร่ไปถึงเกษตรกรจีนบางส่วนเท่านั้น แต่ในด้านสายพันธุ์แล้วใครได้รับประทานลิ้นจี่ของจีนแล้ว ต้องยอมรับในรสชาติและความอร่อย ลิ้นจี่ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่ง ที่เมื่อมองด้วย
แฟนเทคโนโลยีชาวบ้านจากจังหวัดเชียงใหม่เขียนจดหมายขอให้ลงเรื่องการให้น้ำต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะลำไย ช่วงหน้าแล้งในที่ดอน เลยขอให้ผมนำเรื่องดังกล่าวมาลง เผอิญผมมีโอกาสไปเชียงใหม่ แล้วไปหา ผศ.พาวิน มะโนชัย ผู้เชี่ยวชาญ เรื่องลำไย ซึ่งกรุณามอบข้อมูลของ อาจารย์สมชาย วงศ์ประเสริฐ นำมาให้ท่านได้ทราบกัน วิธีการให้น้ำแก่สวนลําไยที่ชาวสวนทํากันแบ่งออกได้ 3 วิธี คือ วิธีให้น้ำทางผิวดิน วิธีโดยสปริงเกลอร์ และวิธีโดยน้ำหยด โดยการให้น้ำทั้ง 3 วิธี มีเป้าหมาย คือ ต้องการให้น้ำซึมลงเปียกดินในทรงพุ่ม ถึงความลึกประมาณ 40 เซนติเมตร ขึ้นไป เพราะรากลําไยส่วนใหญ่แพร่กระจายอยู่ในดินที่ระดับความลึกนี้ การให้น้ำแก่ต้นเล็ก ที่มีอายุ 1-2 ปี การให้น้ำแก่ต้นลําไยปลูกใหม่ในระยะ 2 ปีแรก เกษตรกรจะให้โดยวิธีใดก็ได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ แหล่งน้ำ และทุนทรัพย์ที่จะลงทุน ตั้งแต่การหาบน้ำรด ใช้ปั๊มน้ำท่อยางหรือวางระบบสปริงเกลอร์เล็กหรือน้ำหยด ถ้าจะวางระบบสปริงเกลอร์หรือน้ำหยดก็ควรพิจารณาวางระบบเผื่ออนาคตที่ต้นโตขึ้นด้วย โดยทั่วไปแล้วปริมาณน้ำที่ต้องรดให้แก่ต้นที่ปลูกในปีแรก ประมาณ 20 ลิตร ต่อระยะ 4-5 วัน (รดให้ดินเปียกน้ำก
ในช่วงนี้มีฝนฟ้าคะนองกระจายทุกพื้นที่ กรมวิชาการเกษตร แนะเกษตรกรผู้ปลูกอะโวกาโดให้เตรียมรับมือการระบาดของโรคแอนแทรกโนส สามารถพบได้ในระยะที่ต้นอะโวกาโดติดผลอ่อนถึงระยะผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว อาการที่ใบ ในระยะแรกอาการของโรคจะเห็นเป็นจุดแผลสีน้ำตาลเข้ม ต่อมาแผลขยายตัวมีหลายแผลใน 1 ใบ หากอาการรุนแรง แผลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใบจะแห้งและร่วงหล่น อาการที่ก้านใบ กิ่ง และก้านช่อดอก พบแผลจุดหรือขีดสีม่วง ถ้าอาการรุนแรงแผลจะขยายลุกลามทำให้ก้านใบและกิ่งแห้ง หากเกิดที่ก้านช่อดอกจะทำให้ช่อดอกเหี่ยว แห้ง และหลุดร่วงก่อนติดผล อาการที่ผล ผลอ่อนเป็นจุดแผลสีน้ำตาลถึงดำ หากอาการรุนแรง ผลจะหลุดร่วงก่อนกำหนด อาการบนผลแก่ มักพบในระยะใกล้เก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต พบแผลจุดสีน้ำตาลถึงดำรูปร่างกลมขนาดไม่แน่นอน ต่อมาแผลขยายลุกลามเป็นแผลยุบตัวในเนื้อผล ทำให้ผลเน่า บางครั้งพบเมือกสีส้มซึ่งเป็นส่วนขยายพันธุ์ของเชื้อราที่บริเวณแผล เกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบเริ่มมีอาการระบาดของโรคแอนแทรกโนส ให้เกษตรกรตัดแต่งและเก็บส่วนที่เป็นโรคนำไปเผาทำลายทิ้งนอกแปลงปลูก เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค จากนั้นควรก