ธัญพืช
“งาขี้ม้อน” หรือ “งาขี้ม่อน” เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่ปลูกกันมากในพื้นที่ภาคเหนือของไทย เป็นพืชตระกูลเดียวกับกะเพรา โหระพา แมงลัก ปัจจุบันจะเห็น “งาขี้ม้อน” หรือ “งาขี้ม่อน” ในรูปแบบขนม และเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางกันเยอะ เนื่องจากประโยชน์ของเขาไม่ธรรมดา วันนี้จะพาไปทำความรู้จักให้มากขึ้นว่าจิ๋วแต่แจ๋วไปด้วยคุณประโยชน์ เหตุที่เรียกว่า “งาขี้ม้อน” นั้น มาจากรูปร่างหน้าตาของผลงาขี้ม้อนที่มีความคล้ายคลึงกับมูลหรือขี้ของตัวหม่อนหรือม้อนที่ให้เส้นใยของไหม ขี้ของมันมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ สีน้ำตาล ขนาดเท่าๆ กันทุกเม็ด ลักษณะนิสัยเป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว สูง 0.3-1 เมตร มีกลิ่นหอมเฉพาะ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ ขอบหยักฟันเลื่อย ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด มีขนปกคลุม ดอกสีขาว ผลรูปทรงกลม ขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร สีน้ำตาลเข้ม ผิวมีลายร่างแห พันธุ์งาขี้ม้อน มีพันธุ์ใบสีเขียวและพันธุ์ใบสีม่วง ใบสีเขียวเป็นพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทย จากการสำรวจการปลูกงาขี้ม้อนในภาคเหนือตอนบนพบว่า มีการปลูกกระจายทั่วไปบนพื้นที่ดอนตามไหล่เขาเชิงเขา จากแหล่งปลูกใน 10 พื้นที่ มีงาขี้ม้อนทั้งหมด 130 สายพันธุ์ และมีอ
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สวก. พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย กรมการข้าว, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่) ร่วมกันทำโครงการวิจัย การพัฒนาการผลิตธัญพืชเมืองหนาวเป็นพืชหลังนา เพื่อการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรภาคเหนือตอนบน เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ภาคเหนือ และส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ผลักดันและเพิ่มมูลค่า ให้ “ธัญพืช” หรือ ข้าวสาลี พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ที่เป็นทั้งแหล่งพลังงานจากการรับประทาน และแปรรูปได้หลากหลาย ไปสู่ความมั่นคงทางด้านอาหารและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด…ธัญพืชอาหารแห่งอนาคต ในประเทศไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากข้าวสาลีเป็นธัญพืชเมืองหนาว ที่มีบทบาทไม่น้อยต่อชีวิตประจำวันของคนไทย ทำให้สถิติการนำเข้าของข้าวสาลีและแป้งข้าวสาลีในแต่ละปีมีมูลค่าเพิ่มขึ้น มีการนำเข้าข้าวสาลีและแป้งข้าวสาลีปริมาณ 1,035,798 ตัน คิดเป็นมูลค่า 11,003 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2560 และ 838,737 ตัน คิดเป็นมูลค่า 13,511 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2561 (สถิติการค้าสินค้าเกษตรไทยกับต่
กระแสบริโภคอาหารจากธัญพืช โดยเฉพาะธัญพืชจากฝั่งตะวันตก และแถบอเมริกาใต้ ไม่ว่าจะเป็นควินัว (Quinoa) เมล็ดเชีย หรือแม้แต่กราโนล่า ได้รับความสนใจมากในช่วงที่ผ่านมา ยิ่งสาวๆ ที่นิยมรับประทานธัญพืชเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก ต่างให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ แม้จะมีราคาค่อนข้างสูงก็ตาม ผศ.อาณดี นิติธรรมยง สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากกระแสบริโภคอาหารจากเมล็ดธัญพืชของตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นกราโนล่า ควินัว หรือเมล็ดเชีย (Chia seeds) โดยนิยมนำมารับประทานเพื่อลดน้ำหนัก หรือเป็นอาหารคลีนเพื่อสุขภาพ ซึ่งคุณค่าอาหารมีในเรื่องกากใย ทำให้ระบบขับถ่ายดี และมีโปรตีน ด้วยเหตุนี้จึงนำมารับประทานเพราะอิ่มเร็ว แต่ด้วยธัญพืชพวกนี้มีราคาแพง จึงไม่จำเป็นต้องทานธัญพืชเหล่านี้ก็ได้ แต่หันมาทานธัญพืชของไทยก็มีคุณค่าทางอาหารไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ โดยธัญพืชของไทยที่มีสารอาหารเหมือนกัน คือ ธัญพืชหลากสี ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ลูกเดือย ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น ยกเว้นถั่วลิสง เพราะจะมีไขมันสูง “การที่นิยมหันไปบริโภคธัญพืชเหล่านี้ ก็เพราะการสื่อสารทางการตลาด กา
ใครอยากกิน “อัลมอนด์” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขอแนะนำให้กินแบบ “อัลมอนด์ – แช่น้ำ” ทั้งนี้ จากการศึกษาเรื่องการบริโภคอัลมอนด์แช่น้ำ ของ สุตานันท์ ธนาธันย์นิธิป นักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการเสริมสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพจากนวัตกรรม (Pilot Plant) มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า หากแช่น้ำอัลมอนด์ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้การบดเคี้ยวและการย่อยอัลมอนด์ได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนการทำ “อัลมอนด์ – แช่น้ำ” เริ่มจากคัดเลือกอัลมอนด์ที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติ หลังจากนั้น จึงค่อยนำเมล็ดอัลมอนด์ไปแช่ตามขั้นตอนดังนี้ 1.ใส่อัลมอนด์ลงในภาชนะแก้วที่สะอาด 2.ใส่น้ำดื่มสะอาด 2 ถ้วย ต่ออัลมอนด์ครึ่งถ้วย 3.แช่ไว้ข้ามคืน 4.เช้าวันรุ่งขึ้นเทน้ำออก และเก็บในภาชนะปิดสนิท หรือถุงพลาสติก แล้วเอาเข้าตู้เย็นทันทีหากยังไม่บริโภค 5.การเก็บในภาชนะที่สะอาดและมิดชิดจะเก็บได้นาน 1 สัปดาห์ ขั้นตอนการทำ “อัลมอนด์ – แช่น้ำ” โดยแช่อัลมอนด์ข้ามคืน ประมาณ 10-12 ชั่วโมง จากนั้นเทน้ำออก ล้างให้สะอาดอีกครั้ง และเก็บในภาชนะดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อนำไปแช่ในตู้เย็นไว้อีก 1-3 วัน จะเห็นอัลมอนด์ต้นอ่อนงอกออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่แน่ใจที่สุดว่าเอนไซม์ lipase ได้ออ
ในด้านผลผลิตการเกษตรปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามุ่งเน้นให้ได้ผลผลิตที่ปลอดสารเคมีให้มากที่สุด ไม่ว่าจะใช้ชื่อพืชปลอดภัยจากสารพิษ พืชผักอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย เกษตรชีวภาพ ฯลฯ เกษตรกรผู้ผลิตจะนำวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อผลผลิตของตนเอง ส่งผลถึงราคาผลผลิตที่ดีขึ้น อย่างเช่น การใช้สารเคมีในระยะแรก แต่เมื่อจะถึงระยะเวลาเก็บเกี่ยวก็จะงดใช้สารเคมี หันมาใช้สารอินทรีย์ทดแทน หรือใช้สารอินทรีย์ตลอดระยะเวลาการปลูก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อให้ผลผลิตเกษตรปลอดสารพิษตกค้าง ผู้บริโภคปลอดภัยนั่นเอง สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ประสบผลสำเร็จในการศึกษาวิจัยใช้เชื้อราเพื่อกำจัดแมลง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรที่จะใช้ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช สามารถปฏิบัติเองได้ ต้นทุนต่ำ ราคาถูก ด้วยหลักการใช้เชื้อราเข้าทำลายโดยผ่านผนังลำตัวของแมลง จึงฆ่าแมลงได้หลายชนิดและทุกระยะของการเจริญเติบโต ทั้งแมลงชนิดที่ดูดน้ำเลี้ยงจากต้นพืช เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไรขาว เพลี้ยแป้ง มวน หรือแมลงที่ทำลายพืชด้วยการกัดกิน เช่น ด้วง หนอนผีเสื้อชนิดต่างๆ แม้บางช่
เชื่อหรือไม่ ประเทศไทยได้ชื่อว่าปลูกข้าวมากที่สุดในโลก แต่คนไทยกิน ”ข้าว” น้อยที่สุดในโลก เพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนบริโภคข้าวเฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ที่ 200 กิโลกรัมต่อปี พม่าเป็นประเทศบริโภคข้าวสูงสุดในอาเซียนและในโลก ตามด้วย ลาว เวียดนาม เขมร บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ในช่วง 10 ปีก่อนคนไทยเคยกินข้าวเฉลี่ย 190 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่ตอนนี้คนไทยกินข้าวน้อยลงแค่ 106 กิโลกรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น อัตราการบริโภคข้าวของคนไทย มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากกระแสวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คนไทยรุ่นใหม่หันมาบริโภคฟาสต์ฟูดมากขึ้น นอกจากนี้ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบกินข้าวเพราะกลัวอ้วน หลายคนอาจได้ฟังข่าว นางแบบชื่อดังคนหนึ่งป่วยหนักเพราะไม่ได้กินข้าวหรือแป้งเลยทำให้ร่างกายเกิดภาวะความเป็นกรดจากการใช้ไขมันเป็นแหล่งของพลังงานมากเกินไป เกิดความไม่สมดุลทั่วร่างกาย เพราะคาร์โบไฮเดรต มีความสำคัญมากต่อร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะในส่วนสมองและเม็ดเลือดแดง ต้องการพลังงานสำคัญ คือ น้ำตาลกลูโคส ที่มาจากการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตนั่นเอง ขออ้างอิงผลวิจัยของ ผศ.วันทนีย์ เกรียงสินยศ แห่งสถาบันโภชนาการมหิ
ได้คุยกับ “ไอรีน” เพื่อนฝรั่งชาวนอร์เวย์ในยุโรปเหนือ เธอเพิ่งจะ 40 ปีเศษ แต่หน้าตาแก่เกินอายุไปมากและรูปร่างก็พอกด้วยไขมันจนเกินจะควบคุมไม่ให้เผละแล้ว ระหว่างมื้อกลางวันด้วยอาหารไทย ที่เรา “จัดเต็ม” หลังจากช่วยกันฟาดอาหารรสจัดมากมายหายไปกว่าครึ่งโต๊ะ เธอกวาดตามองอาหารทั้งหมดแล้วเปรยขึ้นมาว่า “ฉันรู้แล้วว่า ทำไมอาหารเอเชียจึงไม่ทำให้อ้วน” เธอบอกว่าเท่าที่สังเกตเห็นจากการเดินทางเที่ยวท่องไปในเอเชียหลายประเทศ ทั้งจีน เวียดนาม มาเลเซีย ไทย เกาหลี หรือญี่ปุ่น ไม่ค่อยเห็นคนส่วนใหญ่มีปัญหาในเรื่องของน้ำหนักเกินมากมายเหมือนที่ได้เห็นในบ้านเมืองเธอและแถบทวีปอเมริกา ยกเว้นเด็กหรือวัยรุ่นสมัยใหม่ที่นิยมอาหารฟาสต์ฟู้ด เธอยังบอกอีกว่า มีข้อมูลทางการแพทย์ที่อ้างอิงได้ระบุด้วยว่าการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจและมะเร็งของคนแถบเอเชียก็น้อยกว่าชาวยุโรป-อเมริกัน คงเป็นเพราะอาหารพื้นถิ่นตะวันออกมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรอย่างดีนั่นเอง พอเธอเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เราก็เลยได้โอกาสปุจฉาวิสัชนาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านอาหารการกินกันยาวเลยทีเดียว ไอรีน บอกว่า เท่าที่เธอสังเกตอาหารไทยพื้นถิ่นหลายมื้อที่เรากินด้วยกัน เธอพบ
จําได้ขึ้นใจว่า ขาดวิตามินบี 1 เป็นโรคเหน็บชา แต่…อาการชาปลายนิ้วมือนิ้วเท้าเป็นเพียงสัญญาณเตือนว่า ร่างกายเรากำลังพร่องวิตามินบี 1 แล้วนะ รีบเติมด่วน เช่น ในกรณีของ 13 หมูป่า ติดถ้ำ ความที่อดอาหารอยู่นานวัน จะเห็นว่าสิ่งแรกที่นักโภชนาการเตือนคือ การขาด วิตามินบี 1 นอกเหนือจากโพแทสเซียม แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส ความสำคัญของ วิตามินบี 1 หรือไทอะมิน (Thiamine) คือช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกาย ในคนปกติ จะมีวิตามินบี 1 สะสมอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ และมีอยู่บ้างในสมอง หัวใจ ตับ ไต แต่หากเกิดภาวะขาดวิตามินเมื่อใด ร่างกายจะดึงเอาวิตามินที่สะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้ ซึ่งจะหมดไปภายใน 1 เดือน และเริ่มมีอาการต่างๆ ปรากฏให้เห็น ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอก เหตุนี้ ถ้าขาด วิตามินบี 1 นานเข้าไม่เพียงมีอาการทางระบบประสาท อาเจียน ซึม อาจกระทบไปถึงการทำงานของระบบหัวใจ ไปจนถึงหัวใจล้มเหลว สำหรับแหล่งให้วิตามินบี 1 ได้แก่ ธัญพืช ข้าวโพด ข้าวซ้อมมือ โฮลเกรนต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย ซีเรียล รวมทั้งเนื้อหมู
อาจารย์แพทย์หญิงวรกานต์ ทิพย์สิงห์ อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติซั่ม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เผยว่า โรคข้ออักเสบเกาท์ (gouty arthritis) คือ โรคข้ออักเสบจากผลึกเกลือยูเรตที่ตกผลึกสะสมที่ข้อ และเนื้อเยื่อรอบข้อเกิดเป็นปุ่มก้อนตามร่างกายที่เรียกว่า โทฟาย (tophi) การตกผลึกของผลึกเกลือยูเรตเกิดจากระดับกรดยูริกในซีรั่มที่สูงเป็นระยะเวลานาน เมื่อกรดยูริกในเลือดสูงจนเกินขีดจำกัดการละลายจะเกิดการตกผลึกในข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงที่ยังไม่มีอาการไปเป็นโรคเกาท์แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละบุคคลซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการของโรคเกาท์ แต่มักจะมีกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ซึ่งได้แก่ โรคอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง ไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในวงการแพทย์ว่ากลุ่มอาการเมตาบอลิกเป็นกลุ่มอาการที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) ดังนั้นโ