นาข้าวอินทรีย์
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ที่พระราชทานมานานกว่า 30 ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง คุณอภิวรรษ สุขพ่วง (คุณพอต) อยู่บ้านเลขที่ 107 หมู่ที่ 10 ตำบลจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ผู้น้อมนำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างยอดเยี่ยม คุณพอต เล่าว่า หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี จากคณะการจัดการอุตสาหกรรม ได้เดินทางกลับบ้านเพื่อจะมาทำอาชีพเกษตรกรรมทันที ไม่ได้มองสายงานที่เรียนมา เนื่องจากที่บ้านมีพื้นที่มรดกไว้แต่ไม่มีใครสร้างประโยชน์ ปล่อยให้เป็นพื้นที่รกร้าง และด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนรักธรรมชาติ และมีความคิดที่อยากเป็นนายตัวเอง ไม่อยากเป็นลูกน้องใ
ผู้เขียนและทีมงานได้ไปเยือนแดนอีสาน จังหวัดสกลนคร สมัยแต่ก่อนนั้นขึ้นชื่อว่ามีคนยากจนมากที่สุด เพราะความแห้งแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำ ทำนาอย่างเดียว อาศัยน้ำฝน พอมีข้าวไว้กิน จะปลูกพืชผักอย่างอื่นก็ทำได้เฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ปัจจุบันงานเกษตรได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้น คุณจิตรดา การุณ บ้านตาดโตน ตำบลหนองสนม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร สมัยแต่ก่อนก็อยู่ในสภาพเกษตรกรผู้ยากไร้กันเยอะ แต่วันเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ชาวหมู่บ้านตาดโตน ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกรใหม่กันเกือบหมด คุณจิตรดา เป็นหัวแรงตั้งเป็นกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ จัดเป็นกลุ่มเกษตร โดยมีสมาชิก 20 กว่าคน มีกิจกรรมทำนาปลูกข้าวหอมมะลิ เลี้ยงวัว ควาย โดยแบ่งให้ครอบครัวละ 10-30 ตัว ทำแปลงปลูกหญ้าให้วัว ควาย สำหรับครอบครัวของคุณจิตรดา เธอเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เธอมีที่ดินทั้งหมด 27 ไร่ แบ่งเป็น ที่ทำนา 8 ไร่ ที่อยู่อาศัย 2 ไร่ ปลูกไผ่ 2 ไร่ มะม่วง 2 ไร่ กระท้อน 1 ไร่ ขุดบ่อ 5 ไร่ ปลูกหญ้าให้วัว 20 ไร่ บ่อที่ขุดไว้ 5 ไร่ แบ่งเป็นบ่อปลา 4 ไร่ บ่อเลี้ยงกบ 1 ไร่ ซึ่งบ่อปลา 4 ไร่ เธอขุดแบบเก็บน้ำไว้ใช้ด้วย โดยขุดลึก 6 เมตร เพื่อเก็บ
ธวัชร กิตติปัญโยชัย ชาวนาในพื้นที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม สมาชิกกลุ่มข้าวอินทรีย์สุขใจ เครือข่ายสามพรานโมเดล เลือกที่จะทำเกษตรแบบผสมผสาน เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำเกษตรเคมี มาสู่ระบบอินทรีย์ โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จนประสบความสำเร็จ สร้างตลาดเป็นของตัวเอง และกำหนดราคาขายได้เอง สร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับครอบครัว ในอดีต ธวัชร เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับชาวนาทั่วไปที่ต้องนำผลผลิต เข้าระบบการจำนำ การประกันราคาข้าว ตามมาตรการของรัฐในยุคต่างๆ แม้จะขายข้าวได้ราคา แต่ไม่มีเงินให้เหลือเก็บ เขาจึงเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง หันกลับไปสู่การทำเกษตรแบบผสมผสานด้วยระบบอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ธวัชร เล่าย้อนให้ฟังว่า ในอดีตที่ดินทำกินแห่งนี้เคยปลูกส้มโอทั้งหมด โดยใช้ปุ๋ยและยาเคมีในการผลิต มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ทำให้หน้าดินเสื่อมอย่างหนัก หลังน้ำท่วมใหญ่ในปี2554 ได้เปลี่ยนมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำนาอยู่ตรงกลางแล้วใช้สวนล้อมรอบ เข้าร่วมโครงการสามพรานโมเดล เพื่อเรียนรู้วิถีการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปแบบ การทำนาอินทรีย์ หากไม่มีความมานะ อดทน ประสบความสำเร็จยาก ธวัชร เล่าว่า รอบแรกขอ
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่แปลงนาข้าว ในพื้นที่บ้านโคกกลาง อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ชาวนาเริ่มลงมือช่วยกันปลูกข้าวอินทรีย์ ขึ้นแล้ว โดยมี นางอังคณา บุญสาม หัวหน้าเกษตรและสหกรณ์จังหวัดยโสธร นำเจ้าหน้าที่ ในหน่วยของตน เข้าร่วมช่วยกันปลูกข้าวในนาข้าวอินทรีย์ ซึ่งเป็นแปลงนา ของคุณธนมน วัฒนเรืองโกวิท ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ วิธียโสธร และยังมีวัตถุประสงค์ ที่จะสร้างไอเดียทำศิลปะบนพื้นนาอินทรีย์ ให้มีสีสัน จึงได้เลือกข้าวหอมมะลิและข้าวก่ำ เป็นข้าว 2 ชนิด มาทำการสร้างภาพศิลปะที่เกิดจากต้นข้าวจริงๆ อีกด้วย คุณอังคณา เปิดเผยว่า โดยแปลงนาที่จะได้รับการส่งเสริมนั้น จะต้องไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า รวมทั้งการเผาตอซังข้าว ขั้นตอนการเตรียมดินนั้น จะต้องมีการเตรียมดินด้วยการปลูกปุ๋ยพืชสด เช่น ปอเทืองถั่วพร้า ก่อนจะดำนาก็จะต้องไถกลบปุ๋ยพืชสด และใช้ปุ๋ยชีวภาพ ที่ผลิตขึ้นเอง หรืออาจซื้อเลือกซื้อปุ๋ยชีวภาพที่มีการรับรองคุณภาพ ส่วนการสร้างศิลปะบนพื้นนาในนาข้าวอินทรีย์ ตามวิธีการของเกษตรอินทรีย์วิถียโสธรนั้น ก็เพื่อเป็นการรณรงค์และเพื่อสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกข้าวอิ