นาอินทรีย์
ผมรับทราบเรื่องราวของสองผัวเมียมานานพอควรแล้ว ได้แต่หาโอกาสว่าสักวันจะขอนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องเล่าเล็กๆ ของคนบ้าทำนาอินทรีย์แห่งพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนตร กับ ต้น-คนรักนา เนตร-ปุณยวีร์ ถาวรกูล สาวน้อยชาวนาดีกรีปริญญาตรี สาขาการตลาด ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นชาวนา นักการตลาด แม่บ้าน และผู้จัดการ ต้น-ญาณพสิษฐ์ ปัทมะเสวี ปริญญาตรีเทคโนโลยีเครื่องกล หนุ่มน้อยเรือนกายกำยำผู้พกพาความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่จะผลิตอาหารปลอดภัยจำหน่ายให้คนที่รักสุขภาพ สองคนกอดคอกันพลิกฟื้นผืนดินจากเดิมที่บรรพบุรุษเคยทำมา เรื่องราวของผืนนาเคมีจะต้องกลายเป็นเพียงเรื่องเล่า การเริ่มต้นแปลงนาอินทรีย์ด้วยความเชื่อว่าจะใช้ความรู้ที่มีสร้างขึ้นมาให้ได้ “เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง” แรกๆ ก็ติดขัดอยู่บ้าง ทั้งความพร้อมของผืนดินและความพร้อมของผู้ลงมือทำ ผลผลิตที่ได้ไม่ดีนัก แต่ทั้งสองก็ยังมุ่งมั่นในปณิธานเดิม ใช้ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ และธรรมชาติมาร่วมในกระบวนการผลิต กาลเวลาย่อมหมุนไป ผ่านคืนวันแห่งฝันร้ายบ้าง ฝันดีบ้าง แต่ชีวิตก็มีความสุข เห็นได้จากผลผลิตในแปลงนาที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นและสมาชิกในครอบครัวก็เพิ่มมาอีกสอ
ในยุคปัจจุบัน คนไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษ กำลังได้รับความนิยมกับกลุ่มคนที่รักสุขภาพ และได้หันมาให้ความสำคัญกับวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร “ข้าวอินทรีย์” จึงเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ในยุคนี้เวลานี้ คุณภาณุสิทธิ์ มั่นคง ชาวนาในตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าของรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปีนี้ สาขาอาชีพทำนา ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยเริ่มต้นใน ปี พ.ศ. 2553 จากการได้เห็นเกษตรกรรายอื่นในชุมชนที่ใช้สารเคมีทางการเกษตร และต่อมาเกษตรกรรายนั้นได้เสียชีวิตลง จึงเกิดความรู้สึกว่า อาชีพชาวนา นอกจากความยากลำบากแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการรับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกาย เขาจึงศึกษาค้นคว้าและน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) มาปรับใช้ในการทำนา เพื่อต้องการให้ชาวนาหรือเกษตรกรมีศักยภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง และได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า การผลิตข้าวเกษตรอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่เขาเลือก โดยปรับเปลี่ยนการทำนาแบบเดิมมาเป็นนาเกษตรอิ
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เผยว่า จังหวัดยโสธร ได้จัดโครงการ “ร่วมลงขัน ชวนกันไปทำนา 2560” เชิญชวนผู้สนใจร่วมลงขันทำนากับชาวนาที่ทำเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่ 3,000 บาท หรือ 5,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่สองแล้ว โดยในปีนี้มีชาวนาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 500 คน ตนเองและรองผวจ.อีกสองคนก็ได้ลงขันด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เน้นคนในยโสธรมากนัก แต่อยากให้คนจังหวัดอื่นๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างกระแสการรับรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดยโสธร ขับเคลื่อนให้เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์มาตั้งแต่ปี 2546 และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของยโสธร อันเป็นเมืองเกษตรอินทรีย์ต้นแบบของประเทศไทย “เกษตรกรในจังหวัดยโสธรส่งออกข้าวอินทรีย์ไปต่างประเทศถึง 80% ขายในบ้านเราแค่ 20% เท่านั้น จึงอยากให้คนไทยได้กินข้าวดีมีคุณภาพ และมองว่าตลาดภายในน่าจะขยายได้อีก โครงการนี้เป็นการใช้กลไกการตลาดนำการผลิต เป็นการผลิตตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการซื้อขายล่วงหน้าลักษณะนี้จะผลักดันทำให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น เพราะมีตลาดรองรับแน่นอน ชาวนาเกิดความมั่นใจ ที่ผ่านมามีจำนวนพื้นที่นาอ