ปาบึก
ควันหลงปาบึก ชาวสวนภาคใต้ “วิกฤตหนัก” ภาคีเครือข่าย “คยปท.” เผยสวนยางเสียหายสิ้นเชิง 1.5 แสนไร่ ทำคนตกงาน 2 แสนคน ขณะที่เกษตร จ.นครศรีฯ แย้งผลสำรวจ 23 อำเภอ พบนาข้าว-พืชไร่-พืชสวน “เสียหายสิ้นเชิง” 3 หมื่นไร่ ด้านสุราษฎร์ “พบเสียหายเบื้องต้น” พืชทุกชนิด 9.5 หมื่นไร่ นายทศพล ขวัญรอด เจ้าของสวนยางพารา ในฐานะประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์พายุปาบึกที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ พบตัวเลขสวนยางพาราเสียหายสิ้นเชิง อย่างไม่เป็นทางการเบื้องต้นกว่า 150,000 ไร่ ทั่วภาคใต้ โดยเฉพาะ 16 อำเภอ ของ จ.นครศรีธรรมราช ได้รับความเสียหายเป็นอันดับ 1 รองลงมา คือ จ.สุราษฎร์ธานี และจังหวัดที่เหลือเสียหายไม่มากนัก ได้แก่ จ.พัทลุง สงขลา กระบี่ พังงา ภูเก็ต และ จ.ตรัง ทั้งนี้ สวนยางพาราที่เสียหายกว่าจะปลูกใหม่และกรีดได้ต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี ส่งผลให้เจ้าของสวน และลูกจ้างกรีดยางพาราตกงานกว่า 180,000-200,000 คน เป็นการหมดตัวหมดอาชีพไปหลายสิบปี ซึ่งจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน รวมถึงเจ้าของสวนยางพาราที่ไม่มีเอกสารสิทธิ รัฐจะสนับสนุนช่ว
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ได้แจ้งเตือนประชาชนเตรียมรับมือกับสถานการณ์พายุ “ปาบึก”บริเวณอ่าวไทยตอนล่างและเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ โดยอาจทำให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น นั้น บริษัทขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก “บริษัทฯได้เตรียมพร้อมที่จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือและดูแลลูกค้าอย่างเต็มความสามารถ โดยลูกค้าที่ประสบเหตุจากพายุปาบึก และต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการให้บริการด้านกรมธรรม์หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตในห้างสรรพสินค้าซึ่งเปิดให้บริการตามปกติเพื่อให้การดูแลลูกค้าทุกท่าน หรือสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกรมธรรม์ความคุ้มครอง ตลอดจนข้อมูลการให้บริการด้านสินไหมทดแทน ได้ที่โทร1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทาง www.muangthai.co.th สำหรับการแนะนำขั้นตอนเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ” น
พิษพายุปาบึก ฝนถล่มเมืองชุมพร น้ำท่วมหนักหลายจุด ถนนสายเอเชีย สี่แยกปฐมพร น้ำท่วม 30 ซม. ยาวกว่า 2 กิโลเมตร รถเล็กไม่สามารถผ่านได้ เจ้าหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกให้ไปใช้เส้นทางเลี่ยง พายุปาบึก / เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ศูนย์ประสานงานเตรียมความพร้อมแก้ปัญหาพายุปาบึก ศาลากลางจังหวัดชุมพร นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ผู้อำนวยการจังหวัดศูนย์ พร้อมด้วย ผบ.มทบ.44 นายสมพร ปัจฉิมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และรอง ผบก.ภ.จว.ชพ. ร่วมติดตามสถานการณ์ผลกระทบจากพายุปาบึก พร้อมแถลงข่าวสรุปสถานการณ์ต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ที่ชัดเจนจากทางราชการ โดยล่าสุดผ่านไปด้วยดี ไม่มีผู้เสียชีวิต สำหรับความเสียหายโดยรวมยังไม่สามารถสรุปได้ กำลังรอรายงานผล ส่วนผลกระทบที่ตามมาคือพื้นที่ที่มีฝนตกหนักคือ อ.สวี มีปริมาตรน้ำฝน 180 มิลลิเมตร อำเภอเมือง 192 มิลลิเมตร โดยน้ำในคลองชุมพรกำลังไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร์ในพื้นที่ ต.วังใหม่ ต.วังไผ่ ต.บ้านนา ต.ตากแดด และต.ถ้ำสิงห์ โดยพื้นที่ที่กำลังได้รับผลกระทบจากน้ำป่าคลองชุมพร ขณะนี้คือถนนสายเอเชีย 441 สี่แยกปฐมพร มุ่งหน้าไปยังหน้าสถ
วาฟ-รอม เผย ‘พายุปาบึก’ ออกอาละวาดแล้ว! เริ่มที่จังหวัดชายแดนใต้ และ สงขลา! เผย ‘พายุปาบึก’ ออกอาละวาดแล้ว! – เวลา 10.00 น. วันที่ 3 ม.ค. แบบจำลองสภาพอากาศ (วาฟ-รอม) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) รายงานเรื่องการเฝ้าระวัง พายุโซนร้อน “ปาบึก” ว่า จะเคลื่อนตัวผ่านอ่าวไทยตอนล่างและมีแนวโน้มเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านลงไปสู่ทะเลอันดามัน ส่งผลให้ภาคใต้จะเกิดฝนตกหนัก ถึงหนักมาก เป็นบริเวณกว้าง ในช่วง วันที่ 3-6 มกราคม โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล วาฟ ระบุว่า ให้มีการเฝ้าระวัง คลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น และอาจเกิดคลื่นซัดฝั่งกำลังแรง ความสูงคลื่นประมาณ 3-5 เมตร รวมทั้งระดับน้ำทะเลยกตัวขึ้นสูง 3 เมตร ทั้งนี้ พายุโซนร้อน “ปาบึก” บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง มีแนวโน้มเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านลงไปสู่ทะเลอันดามันต่อไป กลุ่มเมฆฝนด้านหน้าของพายุปาบึก ได้เคลื่อนตัวเข้าปกคุลมบริเวณภาคใต้ตอนล่างแล้
วันนี้ วันที่ 3 มกราคม นายไพโรจน์ คำทอน ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากมีประกาศเตือนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ลมกระโชกแรงจากอิทธิพลของพายุ “ปาบึก” ที่จะส่งผลกระทบต่อหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงวันที่ 3-5 มกราคมนี้ ในส่วนของอ่างเก็บน้ำปราณบุรี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บกว่า 353 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุ 391 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 90.3 ของความจุอ่าง จึงจำเป็นต้องปรับแผนบริหารจัดการน้ำในอ่างให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม เพื่อเตรียมพร้อมรับมวลน้ำใหม่ที่จะไหลเข้าอ่างภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากมีฝนตกหนัก ขณะนี้ได้เพิ่มการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำปราณบุรี ที่อัตรา 35 ลบ.ม. ต่อวินาที และจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำอีก ในช่วงวันที่ 4-6 มกราคม ในอัตรา 75 ลบ.ม. ต่อวินาที 115 และ 120 ตามลำดับ สำหรับการระบายน้ำจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำปราณบุรีล้นตลิ่ง
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศแจ้งเตือน พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 65 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านแหลมญวน และเคลื่อนลงอ่าวไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคใต้ทำให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ในช่วง วันที่ 3-4 มกราคม 2562 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลานครศรีธรรมราช ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ช่วงวันที่ 4-5 มกราคม 2562 บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล แล้วจะเคลื่อนตัวออกกสู่ทะเลอันดามัน ในวันที่ 6 มกราคม 2562 ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกเล็กน้อยบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร นั้น กรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำอย่างเร่งด่วน โดยการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังโครงการชลประทานในพื้นที่ภาคใต้ทุกโครงการฯ เพื่อเน้นย้ำให้ทุกแห่