ฝนตก
กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 4 เตือนพื้นที่ 57 จังหวัด รวม กทม.-ปริมณฑล รับมือฝนตกหนักถึงหนักมาก ระวังน้ำท่วมฉับพลัน ขณะที่พายุโซนร้อน “ยางิ” ยืนยันไม่กระทบประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศ เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามันและทะเลอ่าวไทยตอนบน ฉบับที่ 4 (159/2567) (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 3-7 กันยายน 2567) ระบุว่า ในช่วงวันที่ 3-7 ก.ย. 67 ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 3 กันยายน 2567 ภาคเ
กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เตรียมวางแผนการตลาดเพื่อควบคุมปริมาณสินค้าลองกองชายแดนใต้ ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม นายสำราญ สาราบรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ลองกอง เป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ มีแหล่งผลิตในภาคใต้ของประเทศไทย โดยในปี 2561 ได้ประมาณการผลผลิตลองกองของภาคใต้ไว้ จำนวน 70,383 ตัน มากกว่าผลผลิตปี 2560 ประมาณร้อยละ 613.82 (ปี 2560 ผลผลิต 9,860 ตัน) โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากและต้องเฝ้าระวัง คือ 4 จังหวัดชายแดนใต้ อย่าง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา มีผลผลิตรวม 35,649 ตัน คิดเป็นร้อยละ 50.65 ของปริมาณผลผลิตลองกองใต้ทั้งหมด ขณะนี้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตลองกองไปแล้ว 30,326 ตัน คิดเป็นร้อยละ 43 ของผลผลิตลองกอง 14 จังหวัดภาคใต้ คงเหลือผลผลิตประมาณ 4 หมื่นตัน หรือร้อยละ 60 ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต แต่จากการติดตามสถานการณ์ผลผลิตลองกองในขณะนี้เปรียบเทียบกับข้อมูลที่คาดการณ์ไว้ พบว่า ผลผลิตลองกองของภาคใต้ลดลงมากกว่า ร้อยละ 50 หรือประมาณ 2 หมื่นตัน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน มีฝนตกชุก ทำให้ลองกองผลแตก หลุดร่วงเป็นจำนวนมาก เดือนก
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ระดับน้ำโขง ยังเพิ่มระดับต่อเนื่องในช่วง 2 -3 วันที่ผ่านมา หลังมีฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้ระดับน้ำโขงเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 10 -15 เซนติเมตร ล่าสุดระดับน้ำโขงยังจ่อวิกฤติอยู่ที่ระดับประมาณ 11.55 เมตร ห่างจากจุดวิกฤติล้นตลิ่ง ประมาณ 1.45 เมตร คือที่ระดับประมาณ 13 เมตร แต่ยังคงเกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำลงน้ำสาขาได้ช้า ส่งผลให้บางพื้นที่ติดกับลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม และลำน้ำก่ำ ที่รองรับน้ำมาจากหลายพื้นที่ ก่อนลงแม่น้ำโขง ยังคงมีปัญหาเอ่อท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร โดยจากการสรุปข้อมูลล่าสุดของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม พบว่า มีพื้นที่ประกาศประสบภัยพิบัติน้ำท่วม ทั้งจังหวัด รวม 12 อำเภอ 94 ตำบล 908 หมู่บ้าน 17,454 ครัวเรือน รวมชาวบ้านได้รับผลกระทบ 51,080 คน มีถนนได้รับความเสียหาย กว่า 111 สาย และมีพื้นที่การเกษตร ได้รับผลกระทบ เกือบ 2 แสนไร่ อยู่ระหว่างการสำรวจเร่งการช่วยเหลือ ตามระเบียบทางราชการ ขณะเดียวกันทางจังหวัดนครพนม ยังคงประกาศเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังน้ำโขงเอ่อท่วมซ้ำอีกรอบสอง เนื่องจากยัง
กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกชุก เตือน 33 จังหวัด ฝนหนัก ภาคใต้มีคลื่นสูงและฝนยังคงตกหนัก ร้อยละ 80 ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ระบุ พายุโซนร้อน “มาเรีย” ไม่มีส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ฝนหนัก / เมื่อวันที่ 12 ก.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมง ข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังผลกระทบจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน มีคลื่นสูง 2-4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง จนถึง วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 อนึ่ง พายุโซนร้อน “มาเรีย” ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่นอยู่บริเวณมณฑลเจียงซี ประเทศจีน พายุนี้ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางไปมณฑลเจียงซี
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพอากาศพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา มีฝนตกปานกลางจนถึงฝนหนักบริเวณฝั่งพระนครเกือบทั้งหมดต่อเนื่องพื้นที่ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.สมุทรสาคร ส่วนถนนที่มีน้ำท่วมขังเร่งระบาย ถ.แจ้งวัฒนะ บริเวณ หน้าบริษัท ทีโอที ยาว 200 เมตร สูงประมาณ 10 เซนติเมตร และ บริเวณหน้าปั๊ม ปตท. ถนนแจ้งวัฒนะ ยาว 100 เมตร ระดับน้ำสูงกว่า 10 เซนติเมตร ส่วนถนนวิภาวดีรังสิต ขาเข้า ตั้งแต่หน้าสนามบินดอนเมือง ถึง คลังสินค้า น้ำท่วมสูง 20 เซนติเมตร บริเวณช่องทางซ้าย และเร่งรอระบายสภาพถนนเปียกลื่น ส่งผลทำให้ช่วงถนนรามอินทรา ขาเข้า มุ่งหน้าวงเวียนบางเขน ถนนแจ้งวัฒนะ มุ่งหน้าถนนวิภาวดี มีการจราจรเคลื่อนตัวได้ช้า และติดขัดเป็นบางช่วงถนน ที่ศาลาว่าการ กทม. ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม สำนักการระบายน้ำ รายงานสถานการณ์ฝนตกในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเวลา 03.26 น. พบกลุ่มฝนปานกลาง เขตดอนเมือง หลักสี่ จตุจักร ลาดพร้าว เคลื่อนตัวทิศใต้ ต่อมา เวลา 04.00 น. พบกลุ่มฝนปานกลาง 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เขตดอนเมือง หลักสี่ บางเขน คันนายาว สายไหม บางซื่อ จตุจักร ลาดพร้าว ต่อเนื่องพื้นที่ จ.นนท
น.ส.จริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร (จีดีพีเกษตร) ไตรมาส 2/2560 ขยายตัว 11.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากปริมาณน้ำใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญมีเพียงพอต่อการผลิต สภาพอากาศเอื้ออำนวยกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงมาตรการด้านเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง น.ส.จริยากล่าวว่า หากวิเคราะห์แต่ละสาขาพบว่าสาขาพืชขยายตัวสูงสุด 15.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ข้าวนาปรัง มีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 10.89 ล้านไร่ หรือเพิ่มขึ้น 112% เทียบปี 2559 มีเนื้อที่เพาะปลูก 5.14 ล้านไร่ ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งกลุ่มไม้ผล ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ เพราะสภาพอากาศอำนวยให้ออกดอกและติดผลดี ส่วนราคาปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากความต้องการของตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 2% และมีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สุกรและไข่ไก่มีราคาเฉลี่ยลดลง สาขาประมง ขยายตัว 5.2% สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 6.5% จากการจ้างบริการ เตรียมดิน ไถพรวนดิน และ
เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศ ฉบับที่ 49 เรื่อง“ฝนตกหนักถึงหนักมากภาคใต้ตอนบน และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย” ประกาศดังกล่าวระบุว่า หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าอ่าวมะตะบันและประเทศเมียนมาในวันนี้ (10 ม.ค. 60) และจะอ่อนกำลังลงในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งต่อไปอีก 1 วัน ส่วนภาคใต้ตอนล่างมีฝนลดลง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และปริมาณฝนที่ตกสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ต่อไปอีก 1 วัน และขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงยังคงพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน ประกาศ ณ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 05.00 น. ประกาศฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้ายของเหตุการณ์นี้ ที่มา มติชน
ในระยะนี้จะมีปริมาณฝนตกหนักเป็นแห่งๆ ปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำไหลบ่า และดินพัง มีโอกาสเกิดขึ้น ขอให้เกษตรกรระวังดูแลพืชผลการเกษตรได้รับผลเสียหาย นายอดุลย์ศักดิ์ ไชยราช เกษตรอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ แจ้งเตือนเกษตรกรให้ระวังผลกระทบจากสภาวะฝนตกหนัก น้ำท่วมขังพืชผลการเกษตร เกษตรกรต้องรู้จักวิธีการเตรียมการป้องกัน ซึ่งจะทำให้ลดผลเสียหายได้บ้าง โดยขอให้ปฏิบัติ ดังนี้ พื้นที่ปลูกไม้ผล ควรทำร่องระบายน้ำให้ทั่ว เมื่อฝนตกหนักน้ำจะไหลไปสู่แหล่งธรรมชาติอื่นๆ ลดปัญหาการท่วมขังได้ และควรมีการทำหลักยึดต้นกิ่งก้านต้นไม้ผล ลดความเสียหายจากพายุลมแรง โดยเฉพาะไม้ผลที่กำลังให้ผล เช่น ทุเรียน ลำไย ควรยึดโยงกิ่ง ช่อผลให้ดี และหลังจากฝนตกหนักมักจะมีน้ำท่วมขัง อย่ารีบเข้าไปเหยียบย่ำตรวจดูไม้ผล ควรปล่อยระยะเวลาไว้ระยะหนึ่งก่อน เพราะจะไปกระทบกระเทือนต่อระบบรากไม้ผลได้ พื้นที่ปลูกพืชผัก ควรมีการยกร่องแปลง เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังระยะสั้นๆ แต่ถ้าระยะยาว พืชผักมักเสียหาย 100เปอร์เซ็นต์ การยกร่องแปลงและขุดทำร่องระบายน้ำจะช่วยได้ดีที่สุด ควรหาช่องทางให้ระบายน้ำออกจากแปลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พืชไร่ ถ้าอยู่ในระยะแก่
เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วงนี้สภาพดินในพื้นที่เกิดความชุ่มชื้นและมีหญ้าชนิดต่างๆ ขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่ทุกที่ ซึ่งส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเนื้อในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาเป็นอย่างมาก โดยเกษตรกรหลายรายพากันมาตัดหญ้าตามริมถนนและคันนา เพื่อนำไปให้วัวของตนเองกินอย่างคึกคัก นายสนิท บ่มกลาง อายุ 60 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงวัว บ้านบุ หมู่ 4 ต.บิง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านั้นในพื้นที่ อ.โนนสูง ประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง หลายพื้นที่ไม่มีหญ้าอ่อนขึ้นตามธรรมชาติ ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ก็นิยมจุดไฟเผาตอซังข้าว ทำให้วัวไม่มีหญ้ากิน เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องต้อนวัวไปหากินไกลถึงริมลำน้ำมูล เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร อีกทั้งยังต้องไปหาซื้อฟางอัดก้อนมาให้วัวกินในช่วงไม่ได้ต้อนไปหากิน ซึ่งก็ทำให้วัวมีสภาพผอมโซ ขายไม่ค่อยได้ราคา อย่างเช่นตนเลี้ยงวัวพันธุ์บราซิลผสมบรามันไว้จำนวน 5 ตัว เพื่อหวังนำไปขายพอเป็นรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงฤดูทำนา จึงต้องเสียเงินซื้ออาหารเสริมมาให้ ตกราคากระสอบละ 30