พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงกรณีมีภาคประชาคมตั้งข้อสงสัยร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช เป็นการละเมิดสิทธิเกษตรกร โดยเป็นการขยายการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเป็นการเปิดทางให้นำทรัพยากรชีวภาพไปใช้โดยไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์นั้นว่า การปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชที่กำลังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นอยู่ในขณะนี้ยังคงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคุมครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ฉบับเดิมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นการขยายระยะเวลาการคุ้มครองใหม่ในพืชไร่และพืชล้มลุกเป็น 20 ปี ในขณะที่พืชยืนต้น 25 ปีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งการปรับแก้ระยะเวลาดังกล่าวจะทำให้นักปรับปรุงพันธุ์มีแรงจูงใจที่จะลงทุนและลงแรงในการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมา รวมทั้ง เกษตรกร ประชาชนทั่วไป และนักวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่และได้จดทะเบียนคุ้มครองก็จะได้รับประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากผู้ใดนำพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์ในการศึก
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมฯกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ..โดยยืนยันว่า การปรับปรุงกฎหมายนี้ยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นที่ตั้ง ไม่ได้มีการเอื้อผลประโยชน์ให้กับนายทุน ตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ และยืนยันว่า เกษตรกรยังคงสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในฤดูต่อไปในพื้นที่ของตนเองได้โดยไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนการขยายการคุ้มครองจากส่วนขยายพันธุ์ไปถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์นั้น หมายถึง ขยายความคุ้มครองไปถึงเฉพาะ“ผลผลิต”หรือ“ผลิตภัณฑ์” ที่เกิดจากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาโดยมิชอบ เท่านั้น แต่หากส่วนขยายพันธุ์นั้นได้มาอย่างถูกต้องแล้ว ผู้ผลิตก็มีสิทธิในผลิตผลและผลิตภัณฑ์ นั้น เพื่อป้องกันเจตนาที่จะใช้ประโยชน์จากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง และมีการนำพันธุ์นั้น ไปขยายต่อโดยวิธีใดๆก็ตาม เพื่อการพาณิชย์ แล้ว เจ้าของทะเบียนคุ้มครองที่ขึ้นทะเบียนไว้ที่กรมวิชาการเกษตร เรียกร้องเพื่อการคุ้มครองสิทธิ เกษตรกรหรือผู้นำพันธุ์ไปใช้ในเชิงพณิชย์จะมีความผิดจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 แสนบาท ทั้งนี้ พืชที่มีการจดทะเบียนคุ้มครองสิทธิในปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 455 ทะเบี