ฟาร์มสุกร
การรับมือสถานการณ์ ASF ในเรื่องของการป้องกันโรค นับเป็นประเด็นสำคัญที่เกษตรกรควรเรียนรู้และเตรียมความพร้อม เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดงานสัมมนาสัญจรขึ้น ณ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้หัวข้อ “หลังเว้นวรรค…จะกลับมาอย่างไรให้ปลอดภัย?” เพื่อปูพื้นฐานที่เข้มแข็งให้กับเกษตรกรรายย่อยพร้อมกลับเข้ามาในระบบและทำการเลี้ยงหมูอีกครั้ง เป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลายสถานการณ์หมูหายไปจากระบบเป็นจำนวนมาก ด้วยสาเหตุของโรคระบาดที่เกิดขึ้น นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่างานดังกล่าวได้รับความร่วมมือด้วยดีจากบริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งมีประสบการณ์ในการถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งของบริษัทปลอดภัยจากโรคระบาดได้สำเร็จ และยังคงเลี้ยงหมูป้อนตลาดได้จนถึงปัจจุบัน ส่งผู้แทนนักวิชาการของบริษัทร่วมถ่ายทอดเทคนิคความรู้ดังกล่าว ร่วมกับ ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุกรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ทั้งนี้ มาตรการป้องกันโรคดังกล่าว ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การพิจารณาข้อมูลระดับจังหวัด โดยทำการโซนนิ
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ครั้งที่ 2/2564 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตร ด้านปศุสัตว์ คือ การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มสุกร เป็นมาตรฐานบังคับ และเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตร ด้านประมง คือ แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อการบริโภค ประกาศเป็นมาตรฐานทั่วไปของประเทศต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต การขอใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาต และการขออนุญาตและการอนุญาตย้ายสถานที่ทำการที่ระบุไว้ในใบอนุญาตของผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐาน พร้อมแบบ มกษ. 14 แบบ มกษ. 15 และแบบ มกษ. 16 รวมทั้งได้เห็นชอบให้เลื่อนระยะเวลาปรับเปลี่ยนการปฏิบัติตาม มกษ. 9035-2563 และร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร : การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงคัดบรรจุผักและผลไม้สด ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 (
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ปรับปรุงการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่ง หลังจำนวนเกษตรกรเพิ่มขึ้น พบว่าให้ผลลัพธ์ดีขึ้นในทุกมิติ เกษตรกรมีคุณภาพชีวิต รายได้และสังคมที่ดีขึ้น ตลอดจนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำการดำเนินงานด้านคอนแทร็คฟาร์มมิ่งของบริษัทช่วยสนับสนุนความยั่งยืนได้อย่างมีนัยสำคัญ นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เมื่อปีก่อนบริษัทได้ทำการประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนตามหลักการสากล โดยใช้วิธี Impact Valuation ที่จะตีมูลค่าผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบของโครงการออกมาเป็นมูลค่าเงิน ต่อมาในปี 2562 เกษตรกรในโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งของบริษัทมีจำนวนเพิ่มขึ้น 230 ราย จึงปรับปรุงวิธีการคำนวณให้ดีขึ้นจากครั้งก่อน โดยได้ผลประเมินมูลค่าที่แท้จริง (True Value) ถึงกว่า 390 ล้านบาท ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจของโครงการคอนแทร็คฟาร์มมิ่งนั้น พบว่าเกษตรกรมีรายได้ในปีที่ผ่
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ พร้อมแบ่งปันน้ำปุ๋ยจากระบบบำบัดของฟาร์มสุกรและโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชในชุมชนรอบสถานประกอบการ บรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง นายสมพร เจิมพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นรุนแรงกว่าหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจะกระทบกับการเพาะปลูกของพี่น้องเกษตรกร บริษัทจึงเตรียมความพร้อมแบ่งปันน้ำ จากฟาร์มสุกรที่ออกมา จากระบบไบโอแก๊สและผ่านระบบการบำบัดแล้ว โดยให้แต่ละฟาร์มสำรวจความต้องการเกษตรกร และเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือในการจ่าย “น้ำปุ๋ย” ให้กับเกษตรกรที่อยู่รอบๆ ฟาร์ม ช่วยลดความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรจากวิกฤติแล้ง ตอบรับนโยบายของภาครัฐที่ให้ผู้ประกอบการนำน้ำที่ผ่านระบบบำบัด เป็นน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดแล้วมาช่วยการเพาะปลูกของเกษตรกร ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2545 ซีพีเอฟได้แบ่งปันปันน้ำปุ๋ย ให้พี่น้องเกษตรกรหลายพื้นที่นำไปใช้ในไร่อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยูคาลิปตัส ปาล์ม สวนผลไม้ ฯลฯ อย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้มีเกษตรกร 113 ราย รับน้ำไปใช้ในแปลงเพาะปลูกบนพื้นที่รวม 3
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ สั่งการให้นายสัตวแพทย์จีรศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ พร้อมด้วยชุดเฉพาะกิจปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดง กรมปศุสัตว์ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จาก สพส. อยส., กลุ่มด่านกักกันสัตว์ที่ 7 กลุ่มด่านกักกันสัตว์ที่ 6 กลุ่มด่านกักกันสัตว์ เขต 1 รวมกว่า 100 นาย เข้าตรวจสอบฟาร์มในอำเภอเมืองของจังหวัดนครปฐม เพื่อตรวจปัสสาวะสุกรด้วยชุดทดสอบภาคสนาม (strip test) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยชุดปฏิบัติงานลงพื้นที่อำเภอเมือง ผลดำเนินการเข้าตรวจสอบฟาร์มสุกร จำนวน 17 ฟาร์ม สุกรรวม 25,000 ตัว พบผลบวกต่อสารเร่งเนื้อแดง จำนวน 4 ฟาร์ม จึงได้อายัดสุกร จำนวน 2,709 ตัว (คิดเป็น 10.8%) โดยปัสสาวะที่ให้ผลบวกจะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติ หากผลตรวจยืนยันว่าพบสารเร่งเนื้อแดงจะดำเนินคดีต่อไป นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าวว่า การปฏิบัติการครั้งนี้จะเป็นการตรวจสอบอย่างละเอียด เข้มข้นและครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสุกรหนาแน่นและในโรงฆ่าสัตว์ รวมถึงสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ด้วย ซึ่งนอกจากปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดนครปฐมแล้วจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ด้วย ซึ่งจะปฏิบัติอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้