ฟาร์มเมล่อน
ฟาร์มเมล่อน สายพันธุ์หวานญี่ปุ่น จ.ลพบุรี ยอดจองแน่น ออเดอร์ล้นข้ามปี ทุกรอบการผลิต มีคนสั่งจองไว้หมด ตั้งแต่เมลอนติดลูกอ่อน ที่อรพรรณ เมลอนฟาร์ม จ.ลพบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ สุรัติกาล ฟาร์ม เลขที่ 75 หมู่ 5 ต.ป่าตาล อ.เมือง จ.ลพบุรี ปลูกเมลอน 2 สายพันธุ์ในโรงเรือนเดียวกัน คือ สายพันธุ์ แสนหวาน (Sanwan melon) เมลอนสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งมีผลสีเขียวลายตาข่าย เนื้อส้ม หวาน หอม นุ่ม และ เมลอนสายพันธุ์ไทเฮา (Thaihao melon) เป็นเมลอนอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มาจากประเทศจีน ผิวมีรอยแตก สีทอง เนื้อมีสีส้มฟูกรอบ รสชาติหวานกรอบ มีกลิ่นหอม โดยในแต่ละโรงเรือนเพาะปลูก จะมีขนาดกว้าง 6.5 เมตร ยาว 30 เมตร สามารถปลูกเมลอน 2 สายพันธุ์ได้เฉลี่ย 350 ต้น ถึง 380 ต้น ขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาล โดยที่ฟาร์มเมลอนแห่งนี้ มี 3 โรงปลูกแต่ละโรงเรือนจะมีการวางแผนการเพาะปลูก โดยจะมีวงรอบการเพาะปลูกในโรงเรือน 80-90 วัน หมุนเวียนกันไปแบบไม่ตรงกัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแล ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดเกือบทั้งปี ในทุก ๆ 2 เดือน และมีความหวานทะลุ 19 บริกซ์ ส่วนวัสดุปลูกของที่ฟาร์มแห่งนี้ จะใช้ทรายแทนดินในการเพราะปลูก
“เมล่อน” เป็นพืชในตระกูลแตงที่นิยมปลูกเพื่อการค้าชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีราคาต่อผลค่อนข้างสูง อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ล้วนแล้วให้ประโยชน์แก่ร่างกายทั้งนั้น ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่มากมายแล้ว เมล่อนยังเป็นผลไม้ที่รับประทานแล้วให้ความสดชื่น ด้วยรสชาติที่หวาน กรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตามแต่ละสายพันธุ์ คุณภัทราภรณ์ ทรัพย์นิตย์ หรือ คุณอ้อ เจ้าของลูกอ้อฟาร์มเมล่อน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านม้า อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อบต. สาวสวย ผู้หลงใหลเมล่อนเป็นชีวิตจิตใจ นำไปสู่การพัฒนาสร้างอาชีพเสริม ใช้พื้นที่ข้างบ้านปลูกเมล่อน เน้นผลิตตามออร์เดอร์ พร้อมได้รับรองมาตรฐาน GAP ยึดสโลแกน “ลูกไหนไม่ดีเราไม่ขาย” ฟันรายได้เกือบ 40,000 บาทต่อรอบการผลิต คุณอ้อ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันเป็นพนักงานประจำอยู่ที่ อบต. ส่วนการปลูกเมล่อนสร้างรายได้เสริมนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความชื่นชอบการทำเกษตรอยู่แล้วเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งถ้าหากย้อนไปเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เมล่อนยังเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างมีราคาสูง และเกิดความสงสัยขึ้นว่า “ทำไมผลไม้ชนิดนี้ถึงมีราคาแพง” จึงเร
วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง นักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชา วิศวกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ได้พัฒนาระบบการทำสมาร์ทฟาร์มเมล่อน โดยใช้ระบบควบคุมดูแล ฟาร์มเมล่อนด้วยเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) ทั้งหมด ซึ่งเมล่อนเป็นผลไม้ที่มีราคาสูง เพราะว่าจะต้องใช้การดูแลเอาใจใส่อย่างพิถีถันมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะ “เมล่อนสีทอง” ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและสามารถขายได้ราคาที่ค่อนข้างดี นายศรายุทธ ชูแก้ว นายสิทธิกรณ์ จันทร์สุขศรี และนายพาทิศ ฤทธิ์ทอง นักศึกษาชั้นปีที3 สาขา วิศวกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.ศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ทั้งสามร่วมกันคิดค้นระบบควบคุมดูแลฟาร์มเมล่อน โดยการเขียนโปรแกรมการควบคุมระบบการให้น้ำ การผสมปุ๋ย การปรับอุณหภูมิด้วยการพ่นหมอกควัน เชื่อมต่อด้วยสัญญาณอินเตอร์เน็ท ผ่านการควบคุมบนมือถือ เพื่อให้เมล่อนที่ปลูกในโรงเรือนมีการเจริญเติบโตได้ดี ลดการใช้ทรัพยากร และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปรับระบบการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ระบบนี้สามารถช่วยเกษตรกรลดก
“เมล่อน” จัดเป็นพืชอยู่ในตระกูลแตง คล้ายแคนตาลูป แต่มีความแตกต่างกันที่รสชาติ ความหอม กลิ่น เนื้อ และลวดลายที่สวยงามของผล ขึ้นกับสายพันธุ์ชนิดต่างๆ ปัจจุบัน ในเมืองไทยนิยมปลูกและรับประทานเมล่อนสายพันธุ์ญี่ปุ่น ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความหวาน หอม อร่อย และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนกลายเป็นผลไม้ทำเงินให้กับเกษตรกรในประเทศไทยได้มูลค่าไม่น้อย คุณสุดารัตน์ สุขนุ่ม หรือ คุณยุ้ย ลูกสาวเจ้าของฟาร์มเมล่อนญี่ปุ่น GAP ตั้งอยู่ที่วิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา หมู่ที่ 4 ตำบลคู้สลอด อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลูกหลานชาวนาพลิกฟื้นที่ดินทำกินให้เจริญงอกเงยยิ่งขึ้น ด้วยการปลูกเมล่อนญี่ปุ่น พร้อมสร้างมาตรฐาน GAP เพื่อขยายโอกาสทางการตลาดและเพิ่มมูลค่าสินค้าจนประสบผลสำเร็จ และยังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนร่วมกับคุณพ่อในการสร้างมาตรฐานควบคุมผลผลิตเมล่อนจนสามารถส่งห้างได้ต่อเนื่องนานถึง 7 ปี ทำรายได้เข้ากลุ่มเดือนละไม่ต่ำกว่า 500,00-600,000 บาท คุณยุ้ย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการปลูกเมล่อนให้ฟังว่า ก่อนที่ครอบครัวของตนเองจะหันมาปลูกเมล่อนญี่ปุ่นเป็นอาชีพหลัก คุณพ
ทุกวันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ทำให้มนุษย์ทำงานได้ง่ายขึ้นก็จริง แต่การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมและมีผู้นำที่ดี มีวิสัยทัศน์ในการทำงาน จึงช่วยให้องค์กรนั้นมีชัยไปกว่าครึ่ง เช่นเดียวกับ “วิสาหกิจชุมชนยางพาราเหล่าทอง” แม้จะเพิ่งเริ่มต้นดำเนินงานได้ไม่นาน แต่มีผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ นำมาพัฒนาธุรกิจจนประสบความสำเร็จ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านแปรรูปยางพาราระดับแนวหน้าของจังหวัดบึงกาฬ ที่ผู้สนใจจากทั่วประเทศสนใจเข้าแวะเยี่ยมชมกิจการตลอดทั้งปี ปัจจุบัน วิสาหกิจชุมชนยางพาราเหล่าทอง ตั้งอยู่เลขที่ 65/10 บ้านเหล่าเงิน ตำบลเหล่าทอง อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ โทร.093-696-2999 กลุ่มฯ แห่งนี้อยู่ภายใต้การนำของประธานกลุ่มฯ คือ “คุณธนวณิช ชัยชนะ” หรือ “คุณอ๊อด” ซึ่งเป็นเกษตรกรหัวก้าวหน้า ที่สวมหมวกหลายใบในฐานะประธานเกษตรแปลงใหญ่ จังหวัดบึงกาฬ คุณอ๊อดยังมีธุรกิจส่วนตัว ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีแก้วรับเบอร์เทค จำกัด และ บริษัท ชัยชนะฟาร์ม จำกัด จุดเริ่มต้น เกษตรกรชาวสวนยางพาราในพื้นที่อำเภอโซ่พิสัย นิยมปลูกต้นยางพาราพันธุ์ส่งเสริม ได้แก่ RRIM 600 และ RRIT 251 แล
หากพูดถึงการเกษตร น้อยคนนักที่จะได้คลุกคลีอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้คนรุ่นใหม่ นับวันยิ่งห่างไกลธรรมชาติ แต่ Coro Fieldฟาร์มเชิงเกษตรไลฟ์สไตล์ฟาร์มมิ่งแห่งแรกในไทยแห่งนี้ จะทำให้เราอยากใกล้ธรรมชาติมากขึ้น Coro Field ฟาร์มเชิงเกษตรสไตล์ญี่ปุ่น บนพื้นที่แสดง 7-8 ไร่ จากการลองผิดลองถูกของ 2 พี่น้อง คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการเกษตรกว่า 3 ปี ก่อนจะเปิดตัวเมื่อ 14 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา coro field มาจาก คำว่า “Coro” เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า เวลา รวมกับ คำว่า “Field” คือ สนามกว้างๆ สีเขียว คุณพันดนัย สถาวรมณี เจ้าของ Coro Field กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการฟาร์มว่า “ด้วยปัจจุบันนี้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ จึงอยากให้ Coro Field เป็นที่พักผ่อน และเป็นเสมือนสถานที่ที่จะหยุดเวลาให้ทุกคนอยู่กับตัวเองและธรรมชาติมากขึ้น” แรงบันดาลใจต่อมาคือ ความจริงที่ว่า การเกษตรของไทยกำลังจะหายไป คนรุ่นใหม่สนใจน้อยลง Coro Field จะเป็นหนึ่งตัวอย่างที่จะทำให้ทุกคนเห็นว่าการเกษตรมีมนต์เสน่ห์ อยากให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานเกษตรกร มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาที่ดิน ด้วยนวัตกรรมสมัย