ยางราคาตก
นอกเหนือจากเรื่องน้ำท่วมที่หลายจังหวัดเผชิญอยู่ตอนนี้ อีกปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขคือกรณีราคายางพารา ซึ่งชาวสวนยางระบุว่าตกต่ำมากเป็นประวัติการณ์ สาเหตุและต้นตอเกิดจากอะไร มีเสียงสะท้อนทั้งจากชาวสวนยางและอดีตส.ส.ใต้ พื้นที่ปลูกยางมากที่สุดของไทย 1.สุนทร รักษ์รงค์ นายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้ เลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย(สคยท.) พวกเราเกษตรกรชาวสวนยางเปิดโอกาสและฝากความหวังไว้กับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ซึ่งมาจากผู้แทนชาวสวนยาง จำนวน 5 คน หรือ 1 ใน 3 จากบอร์ดจำนวน 15 คน ถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับอำนาจการตัดสินใจ เพราะร่างเดิมของ พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย กำหนดให้มีผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยางแค่เพียง 1 คน ส่วนตัวในฐานะอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย ได้ร่วมต่อสู้จนสามารถเพิ่มจำนวนตัวแทนชาวสวนยางในบอร์ดเป็น 5 คน แต่เกือบ 2 ปี ที่พวกเขาบริหารงาน พวกเราชาวสวนยางผิดหวังอย่างมากและเชื่อว่าเกษตรกรชาวสวนยางทั้งประเทศ 1.7 ล้านคนไม่เคยรู้จักพวกเขาเหล่านี้ เพราะไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งโดยตรงจากชาวสวนยาง เป็นการเข้ามา
วันที่ 30 ต.ค. นายบุญมาก บุญเต็ม ผู้จัดการสหกรณ์ยูงทอง จำกัด อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงกรณีราคายางผกผันลดลงอย่างน่าใจหายว่า ราคาน้ำยางตอนนี้อยู่ที่ กก.ละ 41 บาท ยางรมควันอยู่ที่ 51 บาท และขี้ยางอยู่ที่ 18 บาท ถ้าเป็นอย่างนี้ชาวสวนยางจะอยู่อย่างไร สมาชิกสหกรณ์ถอดใจกันหมดแล้ว เพราะราคาตกจนสู้ไม่ไหว ยางราคาถูกแล้วยังขายไม่ได้ หลังจากได้รับซื้อยางจากสมาชิกสหกรณ์ ก็จะนำไปขายที่ตลาดกลางยางพารา ปรากฏว่าต้องรอวันหรือสองวันถึงจะขายได้ ทำให้ชาวสวนยางต้องแบกรับภาระอย่างหนัก ไม่ทราบว่า การยางแห่งประเทศไทยทำอะไรอยู่ตอนนี้ ตั้งขึ้นมาแล้วไม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรม อยากวิงวอนให้รัฐบาลออกมาหามาตรการช่วยเหลือในเรื่องราคายางพาราที่ตกต่ำวันละบาทสองบาท ยิ่งนานวันชาวสวนยางคงตายกันหมด นายบุญมาก กล่าวอีกว่า ราคายางผกผันผิดปกติทุกวัน บางวันกลุ่มพ่อค้าคนกลางเอายางไปขาย และขายได้ขายดี พอสหกรณ์หรือชาวบ้านเอาไปขาย กลับต้องรอเป็นวันๆ ตนมั่นใจว่าน่าจะรู้เห็นกันระหว่างตลาดกลางยางพารากับพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกิดปัญหาจนส่งผลให้ชาวสวนยางเสียหายอย่างมาก หากไม่มีใครมาดูแลในเรื่องนี้คิดว่าอาจจะมีการนำน้ำยางพ
เกษตรกร อ.ท่าอุเทน นครพนม สร้างรายได้จากการหันมาปลูกสับปะรด เปรยผลผลิตไม่พอขาย เพราะพื้นที่ปลูกน้อย ช่วงก่อนหน้านี้เกษตรกรส่วนใหญ่เปลี่ยนมาปลูกยางพารา ตั้งเป้าส่งเสริมให้กลับมาปลูกสับปะรดมากขึ้น นายสุขสันต์ พรรษวงษ์ ผู้ใหญ่บ้านกุดกุมน้อย หมู่ 4 กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย 4 ไร่ แซมในสวนยางพาราที่เพิ่งอายุได้แค่ 3 ปี เริ่มปลูกช่วงต้อนฤดูฝน โดยใช้หน่อ 4,000-5,000 หน่อต่อไร่ ลงทุนเริ่มแรกอยู่ที่ประมาณ 60,000-70,000 บาท ข้อดีของสับปะรดอยู่ที่ให้ผลผลิตติดต่อกันถึง 3 ปี ให้ลูกดก รสหวานฉ่ำ ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. โดยจะมีพ่อค้าจาก มุกดาหาร อุบลฯ ร้อยเอ็ด และยโสธร มารับซื้อถึงสวน ซึ่งผลผลิตในปีนี้แทบไม่พอขาย เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่เปลี่ยนมาปลูกยางพารามากขึ้น ปีนี้ได้ผลผลิต 3-5 ตันต่อไร่ ราคาหน้าสวนอยู่ที่กิโลกรัมละ 20-25 บาทเป็นราคาที่พุ่งสูงในรอบ10 ปี คิดเป็นกำไรไร่ละ 50,000 บาท เตรียมขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มอีก 8 ไร่ ด้านนายมานะ บุญระมี กล่าวว่า เดิมทีพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดอยู่ที่ ต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน และ ต.นาใน อ.โพน