ระบบนิเวศ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข่าวสารของปลาหมอคางดำเป็นกระแสข่าวอย่างไม่ขาดช่วงกันเลยทีเดียว ในหลายพื้นที่กำลังประสบปัญหาการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นชนิดนี้ หรือที่มักเรียกกันว่าเอเลี่ยนสปีชีส์ ซึ่งกำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะเกษตกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์มีโอกาสสัมภาษณ์ ผศ.ดุสิต เอื้ออำนวย หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์และประมง คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการคุณภาพน้ำ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการเลี้ยงกุ้งในระบบ co-culture มาตอบข้อสงสัยรวมไปถึงการรับมืออย่างไรได้บ้าง กับการระบาดของปลาหมอคางคำในขณะนี้ ทำความรู้จัก “ปลาหมอคางดำ” เอเลี่ยนสปีชีส์…ที่มีความอดทน ปลาหมอคางดำ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron (Blackchin tilapia) เป็นปลาน้ำกร่อยที่พบในเขตปากแม่น้ำและทะเลสาบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ลักษณะทั่วไป เป็นปลาในกลุ่มปลานิล มีลักษณะเด่นคือ มีกระดูกสันหลัง 26-29 ซี่ ซี่กรองเหงือกล่าง 12-19 อัน ก้านครีบหลัง 14-16 อัน สีลำตัวเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อม
วันนี้ (21 ส.ค. 66) ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ผ่านระบบ Video Conference ไปยังสำนักงานชลประทานที่ 1-17 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ แหล่งน้ำ และแม่น้ำสายหลักต่างๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องและเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ต่อไป ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน (21 ส.ค. 66) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกัน 41,789 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 55 ของความจุอ่างฯ รวมกัน สามารถรับน้ำได้รวมกันอีกประมาณ 34,548 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 10,258 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 41
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ร่วมมือกับบริษัท มีวนา จำกัด ทำการประเมินมูลค่าบริการระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อนุรักษ์ โดยมี ดร.พงษ์ศักดิ์ วิทวัสชุติกุล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาโครงการรักษ์น้ำ SCGC) เป็นที่ปรึกษาและให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการเก็บข้อมูลเพื่อการประเมินมูลค่าด้วยแบบจำลองที่ ดร.พงษ์ศักดิ์ คิดค้นขึ้น โดยได้มีการจัดอบรมทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติเกี่ยวกับ แนวคิด วิธีการเก็บข้อมูล และการคำนวณมูลค่าบริการระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services: PES) ให้กับชุมชน BEDO และเจ้าหน้าที่มีวนา หลังจากทีมงานส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายของบริษัท มีวนา จำกัด ได้ดำเนินการเก็บวัดข้อมูลในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2566 และวิเคราะห์ผลแล้ว ทาง BEDO ยังช่วยทวนสอบระบบการตรวจวัดข้อมูลของเจ้าหน้าที่มีวนา ทั้งในเรื่องของเอกสาร เครื่องมือ และวิธีการวัด เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลการประเมินมูลค่าระบบนิเวศมีความถูกต้อง แม่นยำ และสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ การส่งเสริมให้เกษตรกรในจังหวั
รศ.ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ และผู้อำนวยการสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ค้นพบปลาค้างคาวชนิดใหม่ของโลก จากลุ่มน้ำแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่า “ปลาค้างคาวอมก๋อย” และตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oreoglanis omkoiense Suvarnaraksha, 2020 โดยได้ตีพิมพ์ในวารสาร Raffles Bulletin of Zoology ฉบับที่ 68 หน้า 779-790 ปี 2020 ซึ่งปลาในสกุลนี้พบได้ในบริเวณต้นน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ น้ำไหลแรง ใสสะอาด เป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ทั้งยังสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนบนพื้นที่สูง รศ.ดร.อภินันท์ กล่าวว่า “ปลาค้างคาวอมก๋อย (Oreoglanis omkoiense) จัดอยู่ในสกุล Oreoglanis ซึ่งเป็นสกุลของปลาที่มีรูปทรงลู่ไปกับน้ำ ส่วนท้องแบนราบ แนบติดกับก้อนหินใต้น้ำ ก้านครีบเดี่ยวของครีบท้องกับครีบหูรวมถึงหนวดที่ขากรรไกรบนและบริเวณริมฝีปากจะมีตุ่มขนาดเล็กมากใช้ในการยึดเกาะกับก้อนหิน ส่วนของปากจะเป็นช่องสามเหลี่ยม ส่วนปลายของหนวดที่ขากรรไกรมีพังผืดยึดและลู่ไปด้านหลัง จัดอยู่ในวงศ์ปลาแค้ติดหิน (Sisoridae) เป็นปลาค้างคาวที่พบในลุ่มน้ำแ
ทีมนักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร.นที อำไพ (นักวิจัย) และ ผศ.ดร.อัญชลี เอาผล (หัวหน้าโครงการวิจัย) ค้นพบ “จิ้งจกนิ้วยาวลานสกา” ซึ่งเป็นจิ้งจกนิ้วยาวชนิดใหม่ของโลกจากพื้นที่เขาหินแกรนิต อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยงานวิจัยได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (BDC) คณะนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.นที อำไพ และ ผศ.ดร.อัญชลี เอาผล จากภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานวิจัยร่วมกับ Dr.Perry L. Wood Jr. จาก Department of Biological Sciences and Museum of Natural History, Auburn University และ Dr.Bryan L. Stuart จาก North Carolina Museum of Natural Sciences ประเทศสหรัฐอเมริกา จิ้งจกนิ้วยาวสกุล Cnemaspis จัดอยู่ในวงศ์ Gekkonidae ซึ่งจิ้งจกในสกุลนี้มีความหลากหลายสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีรายงานการค้นพบชนิดใหม่อย่างต่อเนื่องและปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด 17 ชนิดในประเทศไทย ซึ่งชนิดใหม่ที่รายงานครั้งนี้มีชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ว่า จิ้งจกนิ้วยาวลานสกา
6 สมาคมประมง ภาคเอกชน และอุตสาหกรรมประมงที่เกี่ยวข้องของอินเดีย ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจเปิดตัวโครงการพัฒนาประมง (Fishery Improvement Project หรือ FIP) นับเป็นครั้งแรกประเทศอินเดียที่มีการนำร่องแนวทางปฏิบัติเพื่อการรณรงค์การอนุรักษ์ห่วงโซ่การผลิตและระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยมุ่งปรับปรุงพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกตั้งแต่เมืองรัตนคีรีถึงเมืองกัว สมาคมประมงและภาคเอกชนที่ร่วมลงนามใน MoU ครั้งนี้ประกอบด้วย Ratnadurga Macchimar Society, Adarsh Machchimar Society บริษัทสหกรณ์ประมงและการตลาดมันโนวี จำกัด บริษัทสหกรณ์เจ้าของเรือประมงขนาดเล็กและการตลาดวาสโก้ จำกัด บริษัทสหกรณ์ประมงและการตลาดซูอาริ จำกัด สมาคมเจ้าของเรือเพื่อการพัฒนาคัตแบน บริษัทโอเมก้าปลาป่นและน้ำมัน จำกัด และบริษัท ซีพีเอฟ อินเดีย จำกัด โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคประมงทั้งจากรัฐบาลอินเดียและองค์กรเอกชน (NGO) เช่น กรมประมง สถาบันวิจัยประมงกลาง มหาวิทยาลัยรัตนคีรี รวมถึงผู้แทนจากโครงการหุ้นส่วนการประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable Fisheries Partnership หรือ SFP) เป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ การเปิดตัวโครงการ FIP ในครั้