ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ
ถือเป็น “เรื่องใหม่” ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อต้องจัด “ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ” ให้กับประชาชนในพื้นที่ หลังจากรับการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ “ล็อตใหญ่” เข้ามาบริหารจัดการ ตั้งแต่ปี 2565 และถือเป็น “ความท้าทาย” อย่างยิ่ง เมื่อ อปท. โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ขณะนี้มีมากกว่า 60 จังหวัด ที่จะต้องจัด “บริการสาธารณะ” ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพเฉพาะทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้ “ตรงตามความต้องการ” ของประชาชนมากที่สุด แน่นอน คงสำเร็จไม่ง่าย หากปล่อยให้ อบจ. ต้องดำเนินการในเรื่องเหล่านี้เพียงลำพัง ทว่าในทางกลับกัน ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากทุกฝ่ายร่วมกัน “อภิบาลระบบอย่างมีส่วนร่วม” กลไกความร่วมมือระหว่าง อปท. ในการอภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ผ่านการระดมความเห็น ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน วิชาการ และประชาชน จึงเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำงาน และเป็นสิ่งที่ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ให้ความสำคัญผ่านการทำวิจัยภายใต้ “โครงการการศึกษาและพัฒนากลไกความ
ถ้าเปรียบภัยสุขภาพและโรคร้ายเป็นข้าศึกที่คอยรุกรานประเทศไทย ‘หน่วยบริการปฐมภูมิ’ ที่กระจายตัวครอบคลุมทั่วทั้งไทย ไม่ว่าจะเป็นสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ก็เปรียบได้กับ “ป้อมปราการ” และ “นักรบด่านหน้า” ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองประชาชนซึ่งในปี 2565 ถือเป็นปีที่มีการพลิกโฉม “ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ” ของประเทศไทยครั้งใหญ่ เมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยฯ และ รพ.สต. จำนวน 3,264 แห่ง จากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไปยัง ‘ท้องถิ่นที่มีความพร้อม’ ให้เข้ามารับไม้ต่อในการบริหารจัดการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) การดำเนินงานในครั้งนี้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และเปิดช่องให้ อบจ. สามารถ “จัดระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ” ได้ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ซึ่งถือเป็นภารกิจใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฏในอำนาจ และหน้าที่ของ อบจ. มาก่อน แม้ปัจจุบันในปี 2567 จะมีการถ่ายโอนสถานีอนามัยฯ และ รพ.สต. ไปยัง อบจ. แล้ว 4,27