รับมือภัยแล้ง
ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง 3 โครงการ ทั้งสินเชื่อค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท ดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก สินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนการผลิต ดอกเบี้ย MRR-2 และสินเชื่อพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤต รวมวงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท โดยช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงภัยแล้งไปแล้วกว่า 30,000 ราย วงเงินกว่า 4,600 ล้านบาท นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงกว่าปีที่ผ่านๆ มา ทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหา ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร โดยมีพื้นที่ได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของเกษตรกร นำไปสู่ปัญหาการก่อหนี้นอกระบบ ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. จึงได้จัดทำโครงการสนับสนุนสินเชื่อ เงื่อนไขและดอกเบี้ยผ่อนปรน จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท
คุณอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ปี 2563 กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ลักษณะอากาศประเทศไทยจะเผชิญกับฝนแล้งตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน 2563 โดยปริมาณฝนจะต่ำกว่าค่าปกติ 3-5% ดังนั้น จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรและประชาชนเตรียมการรับมือ และใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยขอให้พี่น้องเกษตรกรปรับตัวตระหนักถึงเรื่องการใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่ปลูกพืชฤดูแล้งเกินแผนที่กำหนด พร้อมดูแลรักษาความชื้นในแปลงปลูกพืช สร้างแหล่งน้ำในไร่นา หรือปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเกษตร โดยใช้แนวทางตามศาสตร์พระราชาเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เป็นต้น โดยเฉพาะขณะนี้สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยโดยทั่วไปร้อนและแห้งแล้ง กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้สำรวจและประเมินเบื้องต้น คาดว่าพื้นที่ไม้ผลเสี่ยงนอกเขตชลประทานมี 30 จังหวัด 207 อำเภอ 1,068 ตำบล พื้นที่รวมทั้งสิ้น 374,978 ไร่ ซึ่งตรงกับฤดูกาลของผลไม้ภาคตะวันออกและภาคเหนือ คือ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลิ้นจี่ ลำไย หากไม้ผลได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตมีขน
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการภายใต้แผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60นั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งดำเนินการ 6 มาตรการ 29 โครงการ คือ 1.มาตรการส่งเสริมความรู้เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง ซึ่งมีโครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสานในเกษตรกรรายย่อย ขณะนี้ได้ดำเนินการอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรแล้ว 8,870 ราย ใน 12 จังหวัด 2.มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำเพื่อการเกษตร ประกอบด้วย โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด งบประมาณ 383.49 ล้านบาท เป้าหมาย 200,000 ไร่ 19 จังหวัด ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 12,513 ราย พื้นที่ 195,289 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการไถเตรียมดิน 171,690 ไร่ โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี 2560 งบประมาณ 636.25 ล้านบาท เป้าหมาย 300,000 ไร่ ครอบคลุม 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้ดำเนินการปลูกแล้ว 194,474 ไร่ เกษตรกร 40,115 ราย คิดเป็น 64.82 % นายธีรภัทร กล่าวว่า 3.มาตรการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน โครงการก่อสร้าง ขุดลอก/ปรับปรุงแหล่งน้ำในเขตปฏิรูปที่
นายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีคำสั่งให้ป้องกันภัยจังหวัดกาญจนบุรี เร่งตรวจสอบพื้นที่ต่างๆ ถึงการใช้น้ำ แหล่งน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงพื้นที่เสี่ยงต่อภัยแล้งซึ่งมีหลายอำเภอ อาทิ อ.ห้วยกระเจา อ.เลาขวัญ อ.บ่อพลอย เป็นต้นว่าสามารถมีน้ำเพียงพอหรือไม่ และเตรียมแผนงานรองรับภัยแล้งในปี 2560 ที่อาจจะเกิดขึ้น นายธีรยุทธ์ จันทร์ดิษฐวงษ์ หัวหน้าป้องกันภัยจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ปภ.ได้จัดการสำรวจในทุกพื้นที่เพื่อเตรียมการภัยแล้งแล้ว โดยมีมาตรการเตรียมพร้อมรับมือ ซึ่งในเบื้องต้น จะได้มีการส่งมอบบ่อบาดาลที่ดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณที่ผ่านมา จำนวน 30 บ่อให้กับพื้นที่เพื่อบรรเทาภัยแล้ง และตรวจสอบบ่อน้ำตามชุมชนหมู่บ้านต่างๆ ส่วนการแจกภาชนะที่ใช้เก็บน้ำนั้นได้ดำเนินการไปทุกพื้นที่แล้ว อีกทั้งซ่อมแซมภาชนะที่ชำรุดให้กับชาวบ้านด้วยหากมีการร้องขอ ทั้งนี้นอกจากการสำรวจและเตรียมการแล้ว ทางป้องกันภัยจังหวัดยังได้จัดทำแผนงานรองรับไว้ อาทิ การเตรียมพร้อมรถส่งน้ำที่มีอยู่จำนวนกว่า 170 คันให้พร้อมใช้งานสนับสนุนน้ำให้กับประชาชนได้ในทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตามได้ประสานงานกับองค์กรเอกชนและหน
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ จากสภาพความแห้งแล้งที่กำลังขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ทำให้คลองชลประทานวัดโคก อ.มโนรมย์ น้ำแห้งขอด ชาวนาเริ่มปรับตัวหันไปปลูกกล้วยน้ำว้าขาย ทดแทนการขาดรายได้จากการทำนา ซึ่งสามารถสร้างรายได้เดือนละกว่า 9,000 บาท… ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ต่ำกว่าปากคลองของคลองส่งน้ำวัดโคก ต.วัดโคก อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ทำให้คลองส่งน้ำสายน้ำแห้งขอด ก้นคลองเหลือเพียงดินแตกระแหง นาข้าวกว่า 4,000 ไร่ที่อาศัยน้ำจากลำคลองสายนี้ต้องเริ่มปรับตัว ชาวนาบางส่วนต้องหันไปพึ่งน้ำบาดาลในการทำนาต่อเนื่อง แต่ยังมีชาวนาจำนวนมากที่หันไปปลูกพืชทดแทนตามนโยบายภาครัฐ ซึ่งในพื้นที่ ต.วัดโคกชาวนาบอกว่ากล้วยน้ำว้าเป็นพืชที่ปลูกได้ผลดีมาก โดยจะใช้การวางระบบน้ำด้วยที่ PVC ในการให้น้ำ ซึ่งถือว่าใช้น้ำน้อยกว่าการทำนาหลายเท่าตัว เมื่อกล้วยติดผลจะมีพ่อค้ามารับถึงสวนในราคาหวีละ 10-12 บาท แต่หากนำไปวางขายเองก็จะได้ราคาถึง 15 บาท โดยในแต่ละรอบการตัดกล้วยขาย ชาวบ้านที่นี่จะมีรายได้กว่า 3,000 บาท และ 1 เดือนจะตัดขาย 3 รุ่น หรือเท่ากับมีรายได้กว่า 9,000 บาทต่อ 1 ไร่/เดือน ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นการลงทุ
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ เวลา 08.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ภัยแล้ง ในพื้นที่การเกษตรจังหวัดอุทัยธานี เริ่มส่อเค้าว่าจะรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังแหล่งกักเก็บน้ำใหญ่หลายแห่งเริ่มมีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ทำการเกษตรเริ่มมีการเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้งกันอย่างเร่งด่วน เช่นที่บริเวณแม่น้ำตากแดด ซึ่งถือเป็นอีกแม่น้ำสายใหญ่ของชาวนาอุทัยธานี ในพื้นที่ อ.เมือง อ.ทัพทัน อ.สว่างอารมณ์ ที่ใช้ประกอบอาชีพทำนาและพืชผลทางการเกษตรเป็นหลัก โดยขณะนี้แม่น้ำตากแดดบริเวณในพื้นที่ ต.หนองหลวง อ.สว่างอารมณ์ และ ต.หนองยายดา ต.โคกหม้อ อ.ทัพทันนั้น ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงบางจุดที่มีการขุดลอกแม่น้ำให้ลึกลงไปจึงยังมีน้ำขัง ทำให้ชาวนาในพื้นที่จำเป็นต้องระดมตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยเหลือตนเอง เพื่อสูบน้ำลงไปในแปลงนา หล่อเลี้ยงต้นข้าวไม่ให้ยืนต้นตาย ประคับประคองให้ข้าวออกผลผลิตไปจนถึงการเก็บเกี่ยว จากการสอบถามเกษตรกรผู้ทำนาในพื้นที่ เล่าว่า ตอนนั้น ชาวนาแต่ละรายจำเป็นต้องระดมตั้งเครื่องสูบน้ำช่วยเหลือตนเองสูบน้ำกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อสูบน้ำไปในแปลงนาหล่อเลี้ยงต้นข้าวไม่ให้ยืนต้นตาย และประค
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 นายบัญชา อรุณเขต ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดอุตรดิตถ์ และผู้แทนเกษตรกร อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า สวนทุเรียนลับแล ที่ได้รับผลกระทบแล้งส่งผลดอกทุเรียนหลง-หลินลับแลดอกแห้งคาต้นเกษตรกรเร่งสูบน้ำช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการเร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำวางระบบท่อส่งน้ำขึ้นภูเขา เพื่อช่วยเหลือต้นทุเรียนที่กำลังออกดอกทั้งทุเรียนพันธ์หลง-หลินลับแลรวมถึงทุเรียนพันธ์หมอนทองที่เป็นที่ต้องการของตลาดจีน ซึ่งปีนี้ภัยแล้งมาไวส่งผลให้ต้นทุเรียนที่กำลังบานดอกดกแห้งคาต้นไม่ติดผลผลิตซึ่งอากาศที่ อ.ลับแล ในช่วงกลางคืนจะมีอากาศหนาวเย็นแต่อากาศแห้งไม่มีน้ำค้าง และในช่วงเวลากลางวันจะมีอากาศที่ร้อนจัดทำให้ดอกทุเรียนที่กำลังบานดอกแห้งคาต้น “ทุเรียนบางต้นที่เป็นผลแล้วก็จะร่วงหล่นเพราะความแห้งแล้งโดยเฉพาะทุเรียนต้นอ่อนที่ปลูกในเมื่อปีที่แล้วรากยังลงไม่ลึกหาอาหารได้ไม่เพียงพอเมื่อขาดน้ำก็จะทำให้ต้นทุเรียนแรกปลูกแห้งตายเกษตรกรบางรายปลูกไปเป็นร้อยต้น แต่ขณะนี้เริ่มแห้งตายไปเหลือรอดตายไม่กี่สิบต้นเป็นเหตุให้เกษตรกรที่พอจะมีทุนต้องซื้อเครื่องสูบน้ำวางท่อเพื่อให้น้ำกับสวนทุเรียนของตนเองก่อนที่จะพบกับสภาว
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 สถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ จ.พิษณุโลก เริ่มส่งผลกระทบแล้วในบางพื้นที่ โดยเฉพาะ อ.บางระกำ ซึ่งมีเกษตรกรผู้เลี้ยงกระบือ หรือควาย โอดครวญจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งส่งผลกระทบต่อฝูงควายที่เลี้ยงไว้ไม่มีหญ้าสดกิน และขาดแคลนแหล่งน้ำ และต้องออกไปขอฟางข้าวจากชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วมาไว้กลางนาข้าว เพื่อให้ฝูงกระบือได้กิน น.ส.แสงเดือน ปัดเพชร อายุ 49 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงควาย ในพื้นที่หมู่ 12 บ้านหนองเขาควาย ต.บางระกำ เปิดเผยว่า ตนเองกับพี่ชาย ร่วมกันเลี้ยงควายเอาไว้ จำนวนกว่า 50 ตัว ซึ่งช่วงนี้สภาพอากาศเริ่มแห้งแล้งและร้อนอบอ้าวมากในตอนกลางวัน ทำให้หญ้าสดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติเหลือน้อยลงแทบไม่มีหญ้าให้ควายกินเลย ควายที่เลี้ยงไว้เริ่มขาดแคลนอาหาร ตนต้องเดินทางไปขอฟางข้าวจากชาวนาใกล้เคียงนำกลับมาให้ควายกิน แต่ก็คาดว่าน่าจะไม่เพียงพอเพราะควายมีจำนวนหลายตัว อีกไม่กี่วันฟางข้าวก็คงจะหมดลง ส่วนแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่เคยต้อนฝูงควายออกไปหากิน คือ บึงตะเคร็ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ขณะนี้ทางอำเภอก็ขอความร่วมมือให้งดนำฝูงควายปล่อยเข้าไปหากินเองตามธรรมชาติ จึงต้องใช้เ
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 องค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง นำเครื่องมือหนักรถแบ๊กโฮลงพื้นที่กำกัดวัชพืชในคลองส่งน้ำ เพื่อเปิดทางน้ำให้ชาวนา หลังได้รับร้องเรียนว่าชาวนาไม่มีน้ำทำนา รถแบ๊กโฮขนาดใหญ่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง กำลังเร่งกำจัดวัชพืช ผักตบชวา ที่มีอยู่หนาแน่นในคลองส่งน้ำ เพื่อเปิดทางให้น้ำได้ไหลอย่างสะดวก เพื่อที่ชาวนาจะได้มีน้ำใช้ในการทำนา หลังจากที่ได้รับการร้องขอจากพื้นที่ในหลานพื้นที่ทั่วจังหวัดอ่างทอง นายสุรเชฐ นิ่มกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า ในการปลูกข้าวปังรอบนี้ จังหวัดอ่างทองมีการปลูกข้าวกันจำนวนกว่า 1 แสน 8 หมื่นไร่ ซึ่งปัญหาที่ประสบในขณะนี้ คือในบางพื้นที่ก็ไม่มีน้ำไปเลี้ยงในคลองส่งน้ำ ในขณะที่ในบางพื้นที่มีน้ำเลี้ยงในคลองส่งน้ำแต่น้ำไหลผ่านได้ช้า เนื่องจากในคลองส่งน้ำมีวัชพืชหนาแน่นมาก ทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดอ่างทอง ต้องนำรถแบ๊กโฮที่มีอยู่จำนวน 5 คัน ออกไปขุดลอกวัชพืช ผักตบชวาในคลองส่งน้ำทุกวัน ไม้เว้นแม้แต่วันหยุด เพื่อให้น้ำนั้นไหลได้คล่องตัวทันต่อความต้องการของเกษตรกรในการใช้ทำนา สำหรับภาพรวมของสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดอ
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน นายทองเปลว กองจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ภัยแล้ง 2559/60 ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานว่าในที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 59/60 ในเขตพื้นที่ชลประทาน ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำทุนเพื่อใช้บริหารจัดการ 31,245 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็นจัดสรรน้ำเพื่อใช้ฤดูแล้ง 17,673 ล้านลูกบาศก์เมตร และสำรองน้ำไว้ใช้ช่วงต้นฤดูฝนเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ปี 60 จำนวน 13,205 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยปริมาณน้ำที่จัดสรรไว้ในฤดูแล้ง ปี 60 จำนวน 17,673 นี้ แบ่งเป็นอุปโภคและบริโภค 2,339 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 13% รักษาระบบนิเวศ 5,440 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 31% การเกษตร 9,579 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 54% และอุตสาหกรรม 315 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 2% นายทองเปลว กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ 5 อ่างเก็บน้ำ ยกเลิกการส่งน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง ทั้งการปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคเท่