สภาผู้บริโภค
ตามที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยภายหลังประชุม ครม. ถึงประเด็นการปรับลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลงให้ได้ 2.50 บาทต่อลิตร โดยระบุว่า การปรับลดราคาน้ำมันจะต้องได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังและกลุ่มสรรพสามิต แต่หลังจากที่ได้ศึกษารายละเอียดกระทรวงการคลังแจ้งว่า ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน หากจะปรับลดก็ต้องลดทั้งหมด แต่กระทรวงการคลังไม่สามารถที่จะลดภาษีสรรพาสามิตน้ำมันเบนซินทุกประเภทได้ถึง 2.50 บาทต่อลิตร และเสนอให้ลดภาษีน้ำมันสรรพสามิตทุกชนิดลง 1 บาทต่อลิตร และเพื่อให้ลดราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลงให้ได้ 2.50 บาทต่อลิตร จะต้องบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเพิ่ม อีก 1.50 บาทต่อลิตร ให้เป็น 2.50 บาทต่อลิตร ตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยจะให้มีผล ตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน ระยะเวลา 3 เดือนนั้น นางสาวรสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภคให้ความเห็นว่า แนวทางการลดราคาน้ำมันเบนซินด้วยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้น เป็นแนวทางที่สภาผู้บริโภคได้ยื่นเสนอต่อนายพีระพันธุ์ไว้แล้วเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเสนอให
สภาผู้บริโภคฯชี้ภาครัฐต้องเพิ่มมาตรการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ดันความเชื่อมั่นซื้อขายออนไลน์ ชี้เก็บเงินปลายทางแต่ไม่ให้เปิดดูสินค้า เปิดช่องโหว่มิจฉาชีพปล้นผู้บริโภค การซื้อขายสินค้าออนไลน์บน Platform โซเชียลมีเดีย ทั้ง เฟซบุ๊ก ไอจี ติ๊กต็อก และไลน์ นับเป็นช่องทางซื้อขายสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะทั้งง่ายและสะดวก ยิ่งมีบริการส่งพัสดุสินค้าแบบเก็บเงินปลายทาง หรือ Cash on Delivery (COD) ยิ่งตอบสนองความต้องการของผู้สั่งซื้อที่ไม่สะดวกโอนเงิน หรือใช้บัตรเครดิตได้อย่างดี อีกทั้งยังทำให้เกิดความมั่นใจในการสั่งซื้อ ว่าจะไม่ถูกหลอกจากมิจฉาชีพ สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนด้านสินค้าและบริการทั่วไปถึง 11,623 เรื่องในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 -มิถุนายน พ.ศ.2566 โดยเป็นปัญหาไม่ได้รับสินค้าตรงตามที่ตกลงซื้อ การไม่รับคืนหรือเปลี่ยนสินค้า ไม่คืนเงินให้กับผู้บริโภค ซึ่งมีการร้องเรียนเข้ามามากถึง 8,719 กรณี หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด แม้ว่าจะเลือกใช้บริการซื้อสินค้าด้วยการเก็บเงินปลายทาง ก็ยังพบว่ามีการแอบอ้างส่งสินค้าเก็บเงินปลายทางโดยที่ผู้บริโภค
ขณะที่ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ย้ำต้องใช้ดุลพินิจอย่างละเอียด ตอบโจทย์แก้ปัญหา ด้านตัวแทนชุมชน ประดิพัทธ์ 23 ลั่นฟ้องร้องแน่ หากยังเดินหน้า สร้างอาคารใหญ่ไม่เป็นไปตามกฎหมายต่อสภาองค์กรของผู้บริโภคโดย นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค และตัวแทนชุมชน ที่ร้องเรียนเรื่องผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอาคารสูงขนาดใหญ่ในซอยแคบ 3 แห่ง ได้เข้าพบและประชุมร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้อำนวยการสำนักควบคุมอาคาร ผู้อำนวยการเขตสำนักงานเขตพญไทย ผู้อำนวยการสำนักเขตเขตจตุจักร ผู้บริหารรับผิดชอบผังเมือง ให้ระงับการก่อสร้างโครงการไว้ก่อน พร้อมกับร่วมกันหาทางออกตามข้อเสนอที่ยื่นถึงผู้ว่าฯ กทม. ไปก่อนหน้านี้ สภาผู้บริโภค และผู้แทนชุมชน ได้ย้ำกับผู้ว่าฯ กทม. ถึงปัญหาสำคัญของทั้ง 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเอสประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ซอย 23) โครงการเอส รัชดา (รัชดา ซอย44) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) อยู่ที่ความกว้างของทางสาธารณะ อาจไม่เป็นไปตามที่ต้องมีระยะความกว้าง 6 เมตร ตามกฎหมายควบคุมอาคาร ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลกับคุณภาพชีวิต และ
แรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้น หลังโครงการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบ อย่างโรงแรมเอทัช ในซอยร่วมฤดี และคอนโดมิเนียมแอชตัน อโศก ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดให้เพิกถอนการก่อสร้างและรื้อถอนอาคาร ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ ความเชื่อมั่นและผู้อยู่อาศัยซึ่งเป็นผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถือว่าเรื่องนี้เป็น “บทเรียน” สำคัญที่ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องขบคิด หาทางป้องกันไม่ให้เกิด “ซ้ำรอย” ในขณะเดียวกัน บทเรียน เรื่องนี้เอง ได้ปลุกกระแสสังคมและชุมชนให้เกิดการตื่นตัว ตระหนักรู้ถึงปัญหา ผลกระทบและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการก่อสร้างอาคารในซอยแคบ จนเกิดการรวมตัวร้องเรียน คัดค้านการก่อสร้างโครงการที่ส่อว่าอาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย ควบคุมอาคาร กฎกระทรวง เรื่องควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมอาคาร ในเรื่องของระยะความกว้างทางสาธารณะ เพื่อความสะดวกในการสัญจรเพื่อระงับเหตุได้ทันหากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเหตุเพลิงไหม้ สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ปัญหาการก่อสร้างอาคารในซอยแคบไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเติบโตของเมือง ที่การสร้างอาคารขยับย้ายเข้าไปก่อสร้างในซอย
สภาผู้บริโภค พอใจ หลังผู้ว่าฯ กทม.รับทราบปัญหาและข้อเสนอของสภาผู้บริโภคและประชาชน จากการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในซอยแคบ และร้องขอเปิดรับฟังความเห็นร่วมทำผังเมืองรวมกทม.ลดปัญหา กระทบ ละเมิดสิทธิประชาชน รวมถึง สนับสนุนการจัดทำระบบFeeder 20 บาทตลอดสาย หลังสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบ 3 ชุมชน ประกอบด้วย โครงการเอสประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ซอย 23 ) โครงการเอส รัชดา (รัชดา ซอย44) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) อาจดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมาย เรื่องความกว้างของถนน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึง ความไม่ปลอดภัย และกระทบกับชุมชนดั้งเดิม พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่สำรวจสภาพปัญหา วัดระยะความกว้างถนนในซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครและสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 20 กันยายน 2566 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร สภาผู้บริโภค พร้อมตัวแทนชุมชน 3 ชุมชน ที่เข้ายื่นหนังสือผลการลงพื้นที่และสรุปเป็นรายงาน พร้อมข้อเสนอต่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ไขปัญหา สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ระบุว่า ในรายงานจะมีรายละเอียดปัญหาที่
นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค พร้อมด้วยตัวแทนภาคประชาชน เตรียมพบนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 20 กันยายน เพื่อพูดคุยถึงปัญหาความเดือดร้อนและแนวทางการแก้ไข หลังประชาชนร้องเรียนการก่อสร้างโครงการอาคารขนาดใหญ่ในซอยประดิพัทธ์ ซอย 23 (โครงการเอส-ประดิพัทธ์) ชุมชนพหลโยธิน ซอย 37 (โครงการ เดอะมูฟ พหลโยธิน) และ ชุมชนรัชดาภิเษก ซอย 54 (โครงการ เอส-รัชดา) ที่มีทางเข้า-ออกคับแคบ อาจเข้าข่ายไม่เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเรื่องการควบคุมอาคาร และก่อนหน้านี้ได้ร้องไปยังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหวังให้เกิดการแก้ไข โดยสารี ระบุว่า การเข้าพบครั้งนี้จะนำประเด็นปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนกว่า 1,000 คน ทั้งการก่อสร้างในซอยแคบ ที่ระยะความกว้างอาจไม่เป็นไปตามกฎหมาย และผลกระทบที่ประชาชนชาวชุมชน ห่วงกังวล ทั้งที่จอดรถ การสัญจร ความไม่ปลอดภัยในชีวิต หากเกิดเหตุไฟไหม้อาคารหรือภายในชุมชน จะไม่สามารถเข้าไประงับเหตุ หรือช่วยเหลือได้ทัน ตลอดจนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะมีผลเชื่อมโยงไปถึงสุขภาพชาวชุมชน และไม่มีการศึกษาผลกระทบที่โปร่งใส พร
สภาผู้บริโภคจัดเวที Consumers Forum EP.6 ติดตามทำงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทสช.โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการในช่วง 1 ปี 5 เดือนของการทำงานมาศึกษา สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้ายการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค ระบุว่า ครึ่งปีแรก ยังไม่พบผลงานดูแลผู้บริโภคที่โดดเด่นของ กสทช.ทั้งปัญหาข้อร้องเรียน และปัญหาระดับชาติ อย่างแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ที่คุกคามประชาชน และข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนถูกละเมิดรั่วไหล กสทช.ควรเร่งมือแก้ปัญหา ร่วมกับองค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเป็นความหวังของประชาชน โดยเฉพาะการควบรวมกิจการระหว่างบริษัททรูกับดีแทค ที่ทัดทานไม่สำเร็จ ก็หวังว่า รัฐบาลใหม่จะส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคให้มากขึ้น ให้เกิดการแข่งขัน ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและเปิดให้มีการตรวจสอบการทำงานของ กสทช.และทุนด้านโทรคมนาคมด้วย ขณะที่ อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุว่า หลังการควบรวมกิจการค่ายมือถือ และติดตามข้อห่วงกังวล ในเรื่องสัญญาค่าบริการ คุณภาพการบริการ และการแข่งขัน รวมถึงการถือครองคลื
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค พร้อมตัวแทน ผู้อำนวยการกองควบคุมอาคาร กรุงเทพมหานครร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม เอส ประดิพัทธ์ (ซอยประดิพัทธ์ 21 และ 23) โครงการเอส รัชดา (รัชดา ซอย 44 ) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37) ที่อยู่ในซอยแคบ หลังมีประชาชนชุมชนดั้งเดิมกว่า 1 พันคน ร้องเรียนว่า การใช้ชีวิตประจำวันได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างหลายเรื่อง โดยเฉพาะการก่อสร้างอาคารที่มีขนาดมากกว่า 9 พันตารางเมตร ภายในซอยแคบที่ถนนสาธารณะต้องมีความกว้าง 6 เมตรขึ้นไป จากการลงสำรวจพื้นที่ พร้อมทดสอบวัดระยะความกว้างของถนนภายในซอยประดิพัทธ์ 23 ทางเข้าโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม เอส ประดิพัทธ์ พบตลอดเส้นของถนนทางเข้า เป็นย่านชุมชน มีทั้งตลาด ร้านค้า อพาร์ตเมนต์พบว่า ความกว้างของถนนสาธารณะมีระยะกว้างไม่ถึง 6 เมตร โดยวัดได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 – 5.8 เมตร ขณะที่ผิวการจราจรกว้าง 3.8 – 4 เมตร มีเพียงบางช่วงเท่านั้น ที่ความกว้างเกิน 6 เมตร ขณะที่พื้นที่ก่อสร้างคอนโดมิเนียมเดอะมูฟ ในซอย พหลโยธิน 37 ซึ่งสภาพพื้นที่ก่อสร้างเป็นซอยคับแคบและลึก มีชุมชนดั้งเดิม รวมถึง โรงเรียนม
นายภาณุโชติ ทองยัง ประธานอนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาผู้บริโภค เรียกร้องขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมประมง ตื่นตัวเร่งออกมาตรการ และแนวทางการป้องกันและตรวจสอบสารปนเปื้อนในอาหารทะเลนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และประชาสัมพันธ์ชี้แจงให้ผู้บริโภคทราบโดยด่วน หวั่นมีสารกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนกระทบกับสุขภาพผู้บริโภคในไทย หลังประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีที่บำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมนี้ แม้จะได้รับการรับรองจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ ไอเออีเอ ว่าน้ำที่ปล่อยมีความปลอดภัย สอดคล้องกับมาตรฐานโลก แต่หลายประเทศ รวมถึงในญี่ปุ่นเองก็ต่อต้าน เพราะเกรงจะมีผลต่อความปลอดภัยของอาหารทะเล และสุขภาพของผู้บริโภค โดยประเทศจีน เกาะฮ่องกง และเกาหลีใต้ ได้ออกมาตรการ งดนำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว โดยงดผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมีชีวิต แช่แข็ง แช่เย็น อบแห้ง รวมถึง เกลือทะเล สาหร่ายทะเล แต่ในประเทศไทยยังไม่พบว่ามีหน่วยงานใดออกมาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการจัดการความเสี่ยงเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล
สภาผู้บริโภค เรียกร้องธนาคารใช้อำนาจ พรก.ป้องกันปราบอาชญากรรมไซเบอร์ปิดบัญชีม้าเต็มประสิทธิภาพ ชงตั้งศูนย์ไซเบอร์รัฐ จัดการปัญหาจัดการมิจฉาชีพเร่งด่วน หลังสถิติการก่อคดีต่อเนื่องและอายัดความเสียหายยังน้อย ไม่เต็มประสิทธิภาพ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค ยังเป็นห่วงผู้บริโภค หลังพบมิจฉาชีพไซเบอร์ยังก่อคดีต่อเนื่องหลอกลวงดูดเงินในบัญชีธนาคารของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการโทรศัพท์และส่งลิงค์ให้เหยื่อกดลิ้งค์ เพื่อเข้าถึงข้อมูลและดูดเงินไปในที่สุด ซึ่งสถิติตั้งแต่ต้นปี 2566 ก่อนพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 17 มีนาคม 2566 พบว่า มีเรื่องเรียนแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงเฉลี่ย 790 เรื่องต่อวัน สามารถระงับการทำธุรกรรมหรือ อายัดบัญชีธนาคาร ปกป้องการสูญเสียเงินได้ 6.5% ของความเสียหายทั้งหมด ขณะที่หลังพระราชกำหนดดังกล่าวบังคับใช้ การร้องเรียนลดลงเหลือ 591 เรื่องต่อวัน และมีอัตราการอายัดปกป้องเงินบัญชีได้เพิ่มขึ้นเป็น 10.6 % ต่อวันของความเสียหายทั้งหมด โดยทางสภาองค์กรของผู้บริโภค เห็นว่าแม้สถิติจะบ่งชี้ว่าการออกพระราชกำหนดมีผลต่อการล