สินเชื่อ
ธ.ก.ส. เติม 3.5 พันล้าน จัดสินเชื่อ OD สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินกิจการสถานธนานุบาล เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องธุรกิจ สร้างความเข้มแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่คนในชุมชน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.20 ต่อปี เปิดแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายสุนัน พงศ์ประยูร ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อ OD สำหรับสถานธนานุบาล กรอบวงเงินสินเชื่อรวม 3,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ประกอบกิจการสถานธนานุบาล ในการนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องธุรกิจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแรงให้กับเศรษฐกิจชุมชน โดยสนับสนุนเงินทุนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถนำเงินทุนที่ได้จากสถานธนานุบาลไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ ตามแนวทางการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และสร้างโอกาสในการลงทุน เพื่อให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ลดปัญหาการพึ่งพาหนี้นอกระบบและลดปัญหาการว่างงานอย่างยั่งยืน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MOR – 3.
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังรับทราบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งมีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับช่วยเหลือชาวนาที่ประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ว่า “กรมส่งเสริมสหกรณ์ เล็งเห็นถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา โดยเฉพาะเรื่องการถูกกดราคารับซื้อข้าวเปลือกต่ำกว่าราคาที่เป็นธรรม พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/2567 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนา ด้วยวิธีการดูแลราคาข้าวเปลือกผ่านโครงการสำคัญ 2 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และ 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม” โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป็นโครงการที่ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลผลิตข้าวเปลือกออกสู่ตลาดพร้อมกันในฤดูเก็บเกี่ยว จนเป็นต้นเหตุของปัญหาราคาข้าวถูกกดต่ำลงอย่างไม่เป็นธรรม จึงต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของตนเองไว้รอราคาที่หมาะสม ซ
ธ.ก.ส. สกลนคร เดินหน้าเร่งจ่ายสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา ตามโครงการสานพลังประชารัฐของรัฐบาล เพื่อให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการมีทุนเพาะปลูกทันการผลิตใน ธ.ค. นี้ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่เทศบาลตำบลเหล่าปอแดง อ.เมือง จ.สกลนคร นายสุภาษิต ศุภวุฒิ ผอ.สนง. ธ.ก.ส. สกลนคร พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สนง. เกษตรจังหวัดสกลนคร ชลประทาน พบปะพูดคุยสร้างความเข้าใจต่อเกษตรกรในพื้นที่ในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา ตามโครงการสานพลังประชารัฐและมอบปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ นายสุภาษิต กล่าวว่า โครงการนี้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อโดยแบ่งเป็น 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา เพื่อให้เกษตรกรเป็นทุนหมุนเวียนในการผลิตและจัดหาปัจจัยการผลิตผ่านบัตรเกษตรสุขใจ โดยผู้ขอสินเชื่อจะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และมีความประสงค์ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในวงเงิน ไร่ละไม่เกิน 2,000 บาท พื้นที่ไม่เกิน 15 ไร่ วงเงินกู้ รวมไม่เกิน 30,000 บาท ต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด ร้อยละ 0.1 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของพี่น้องเกษตกร ซึ่งปัจจุบันทำงานหนัก และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และสุขภาพ จึงผุดโฆษณาตัวใหม่ ธกส ทวีรัก 99 ชวนเกษตรกรและครอบครัว ฝากเงินสงเคราะห์เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต เริ่มต้นเพียงวันละ 3 บาท คุ้มครองชีวิตสูงถึง 200,000 บาท เริ่มส่งตั้งแต่อายุน้อยยิ่งคุ้ม กรมธรรม์ฝากเงินสงเคราะห์ ธกส ทีวีรัก99 นั้น เป็นกรมธรรม์เงินฝากสงเคราะห์รายบุคคล คุ้มครองตลอดชีพถึงอายุ 99 ปีบริบูรณ์ สำหรับผู้ฝากฯ ที่มีอายุระหว่าง 20-60 ปีบริบูรณ์ สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ส่งชำระเป็นรายปี ในอัตราคงที่ตลอดอายุสัญญา ขึ้นอยู่กับอายุ ณ วันที่เริ่มฝากฯ และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด ในกรณีเสียชีวิตระหว่างสัญญา หรือมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา รับเงินผลประโยชน์ 100% ของเงินทุนสงเคราะห์ เงื่อนไขความคุ้มครองดีและราคาเบาๆ แบบนี้ อย่าลืม…มาเพิ่มภูมิคุ้มกันกับเงินฝากสงเคราะห์ ธกส ทวีรัก 99 กันเยอะๆ นะครับ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ call center 0-2555-0555 หรือ www.baac.or.th
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือSME Development Bank) เปิดเผยว่า ได้ออกสินเชื่อใหม่ “โครงการสินเชื่อ สร้างอาชีพ วัยเก๋า” วงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป นำไปเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้หลังเกษียณอายุจากการทำงานประจำ โดยเฉพาะลงทุนซื้อแฟรนไชส์ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำในการประกอบธุรกิจ รวมถึงนำไปใช้ปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถแข่งขันในธุรกิจได้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ต่อเนื่องรวมถึง ทำให้ผู้สูงอายุมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่สะสมมาให้เกิดประโยชน์ และพึ่งพาตัวเองได้ ลดการเป็นภาระสังคม และลดภาระรัฐบาลต้องจัดงบประมาณดูแลผู้สูงอายุที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้น นายมงคล กล่าวว่า ส่วนเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้กู้นั้น ได้เปิดโอกาสให้ผู้กู้ ทั้งบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ที่มีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามหรือผู้ถือหุ้น คนใดคนหนึ่งมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป จนถึง 75 ปี (รวมระยะเวลาให้สินเชื่อแล้วไม่เกินอายุ 75 ปี) กู้ได้โดยผู้กู้ต้องผ่านการพัฒนาห
นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส ผู้บริหารประสานงาน ธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขยาดย่อม (เอสเอ็มอี) ปี 2561 เติบโตประมาณ 7-8% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น โดยธนาคารจะเน้นการปล่อยสินเชื่อแยกตามรายภูมิภาค และเจาะกลุ่มพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งได้มีการตั้งทีมสำหรับดูแลลูกค้าขึ้นมาโดยเฉพาะ และจะทำเช่นเดียวกันในภูมิภาคอื่นๆ เพื่อดึงคนในพื้นที่และคนที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันทำงาน เพื่อนำเสนอรูปแบบสินเชื่อที่ตรงกับความต้องการทั้งสินเชื่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐ สินเชื่อธุรกิจคลังจัดเก็บสินค้า สินเชื่อโลจิสติกส์ รวมทั้งจะเน้นให้สินเชื่อธุรกิจที่ทำระบบบัญชีเดียว และจะสนับสนุนระบบการชำระงานผ่านคิวอาร์โค้ดด้วย “คาดว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีปีนี้เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 6-7% เนื่องจากผู้ประกอบยังไม่เชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ธนาคารก็จะยังคงผลักดันสินเชื่อในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ให้เติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้” นายปฏิเวชกล่าว นายปฏิเวชกล่าวว่า หนี้ที่ไม่ก่
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวในโอกาสร่วมนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารธนาคาร ต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยี่ยมเยียนประชาชนและบู๊ธของ ธอส. ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ว่าธนาคารเตรียมกรอบวงเงินสินเชื่อรวม 4,700 ล้านบาท สำหรับโครงการปล่อยสินเชื่อแก่ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบไปด้วยหลายโครงการสินเชื่อ อาทิ ที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี คงที่นานถึง 5 ปีแรก เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี คงที่นานถึง 5 ปีแรก เป็นต้น นอกจากนี้มีลูกค้าที่พักอาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน จำนวน 175 ราย และธนาคารอนุมัติสินเชื่อกว่า 8.7 ล้านบาท ถือเป็นโครงการส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ฉบับวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560