หญ้า
ในการตกแต่งสวน สิ่งที่ละเลยไม่นำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างพื้นสนามหญ้าก็อาจทำให้สวนแห่งนั้นขาดความสมบูรณ์แลดูไม่สวยงาม หากผ่านตามร้านขายต้นไม้หลายแห่งจะพบว่ามีหญ้าเป็นแผ่นตั้งกองไว้หน้าร้านเพื่อจำหน่ายควบคู่ไปกับพันธุ์ไม้หลายชนิด อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้หญ้าแต่ละชนิดต้องพิจารณาให้เหมาะสมตรงกับเจตนาของการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้งหรือแดดรำไร แต่ทราบหรือไม่ว่าเส้นทางของการผลิตหญ้ากว่าจะมาสร้างความสวยงามให้แก่สวนของคุณมีความเป็นมาอย่างไร ในอดีตหากต้องการใช้หญ้าเพื่อจัดสวนมักรู้กันดีว่าแหล่งสำคัญคือที่มีนบุรี เพราะปลูกหญ้าได้คุณภาพจนเรียกติดปากว่า “หญ้ามีน” ถึงแม้ในปัจจุบันแหล่งปลูกหญ้าจะเพิ่มหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดปทุมธานี กำแพงเพชรหรือแม้แต่นครนายก แต่ชาวบ้านที่มีนบุรียังคงรักษาวิถีอาชีพปลูกหญ้าดั้งเดิมสร้างรายได้เพื่อคงเอกลักษณ์ไว้ คุณสมชาย เจ๊มะหะหมัด กรรมการศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรมีนบุรีและประธานกลุ่มผู้ปลูกหญ้าแปลงใหญ่ เป็นผู้ที่คร่ำหวอดกับวงการปลูกหญ้าสนามมาตั้งแต่เด็กให้ข้อมูลว่า ที่มีนบุรีถือเป็นพื้นที่ปลูกหญ้าแห่งแรก โดยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา คุณสุดใจ วงศ์อารี อดีตรอ
สวัสดีครับ สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน พบกันเป็นประจำ ในคอลัมน์ “คิดใหญ่แบบรายย่อย The challenge of smallscale farmers” กับผม ธนากร เที่ยงน้อย ผมเคยเขียนถึงเรื่องวัฏจักรราคาของสินค้าเกษตรบ่อยครั้ง เมื่อมีราคาขึ้น ก็มีช่วงที่ราคาจะลง เหมือนกับราคาของวัวเนื้อ วัวขุน ในบ้านเราที่เคยร้อนแรงเมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา และร้อนแรงมาเรื่อยๆ ตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงนี้ราคาวัวเริ่มอืดหรืออาจจะเป็นช่วงขาลงของราคาวัวเนื้อในประเทศจากหลายๆ เหตุผลประกอบกัน แต่ไม่ว่าราคาจะเป็นอย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรรายย่อยหลายคนยืนหยัดอยู่ได้ในวงการวัวขุน เขาทำอย่างไร ประสบการณ์นี้จะช่วยบอกเล่าอะไรให้เราได้บ้าง ผมจะพาท่านตามไปชมกันครับ ประสบการณ์กว่า 10 ปี เริ่มต้นจากวัวฝูง พาท่านไปพบกับ คุณนิภาพักตร์ ขำกุศล ที่บ้านเลขที่ 270 หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี คุณนิภาพักตร์ เล่าว่า เริ่มต้นจากเลี้ยงวัวฝูง พันธุ์ลูกผสมไทยบราห์มัน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาจนปัจจุบันเลิกเลี้ยงวัวฝูงและหันมาเลี้ยงวัวขุนเป็นหลัก “เลี้ยงวัวฝูงมา 10 กว่าปี เมื่อเห็นว่าราคาวัวขุนดีขึ้นเรื่อยๆ จึงสนใจอยากจะขุ
ปัจจุบัน กลุ่มผู้เลี้ยงปลาในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย หันมาใช้หญ้าเลี้ยงปลาแทนการใช้อาหารปลาบรรจุกระสอบที่วางจำหน่ายตามตลาดกันอย่างแพร่หลาย โดยชาวบ้านปลูกและซื้อขายหญ้าด้วยกันเอง ซึ่งจะนำต้นและใบมาปั่น บด รวมถึงปรุงเป็นส่วนผสมพิเศษก่อนนำไปให้ปลา นอกจากนี้ ยังนำหญ้าวางซ้อนในบ่อปลาสลับกับมูลวัว ซึ่งพบว่าปลาเข้าไปตอดกินหญ้าดังกล่าว โดยวิธีการนี้ช่วยให้ต้นทุนลดต่ำลงอย่างมาก ปัจจุบันหญ้าจึงกลายอาหารหลักที่ผู้เลี้ยงปลาในจังหวัดเชียงราย ใช้เลี้ยงปลาในบ่อของตัวเองแล้ว หญ้าที่ใช้เลี้ยงปลาคือ เนเปียร์ ปากช่อง 1 ซึ่งได้คิดสูตรขึ้นเพื่อให้นำมาเลี้ยงปลาได้ โดยใช้สูตร 6 : 4 : 1 คือ หญ้า 6 ส่วน รำข้าว 4 ส่วน และหัวอาหาร 1 ส่วน เมื่อนำมาผสมและบดแล้วให้ปลา พบว่าปลากินดีมาก ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนค่าอาหารปลาได้อย่างมาก เพราะในปัจจุบันอาหารปลามีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 26 บาท แต่ถ้าใช้หญ้า ต้นทุนจะลดเหลือเพียงกิโลกรัมละ 6 บาท นอกจากนี้ ผลพลอยได้ยังพบว่าน้ำในบ่อปลาไม่เน่าเสีย ซึ่งแตกต่างจากการให้อาหารปลาทั่วไปที่มักประสบปัญหาน้ำเสียหรือมีกลิ่น โดยน้ำที่เลี้ยงด้วยหญ้าจะมีสีเขียวอ่อนๆ ตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันปล
หากเอ่ยถึงหญ้ากินนีมอมบาซา (Mombasa guinea) เชื่อว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงโคหรือวัว จะรู้จักกันดี ซึ่งหญ้าพันธุ์นี้เป็นหญ้าสายพันธุ์กินนี จากอเมริกาใต้ มีสีเขียวนวล มองแล้วสดชื่นสบายตา เป็นหญ้าที่ทนแล้งได้ดี มีน้ำหนักเบา สามารถปลูกได้ดีบนที่ดอน จะปลูกในสวนหรือแปลงพืชไร่ชนิดอื่นก็ได้ และปลูกแล้วจะแตกกอเร็ว ทรงพุ่มใหญ่ ต้นและใบมีขนาดใหญ่ ให้คุณภาพโปรตีนสูง เฉลี่ย 8-10% เหมาะสำหรับการตัดหรือปล่อยสัตว์แทะเล็ม ปลูกโดยหว่านอัตรา 2 กิโลกรัม ต่อไร่ ผลผลิตน้ำหนักแห้ง 3.0-4.0 ตัน ต่อไร่ สามารถปลูกได้ดีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า มีเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเลี้ยงโคหรือวัวกันเป็นจำนวนมาก และเจ้าของวัวบางคนได้ปลูกหญ้าสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อเป็นอาหารให้กับวัวของตัวเอง ส่วนใหญ่จะพากันปลูกหญ้ากินนีมอมบาซา และมีผู้ที่เลี้ยงวัวจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ปลูกหญ้าด้วยตัวเอง อาจจะเป็นเพราะว่ามีพื้นที่จำกัด หรือไม่มีเวลา หรืออาจจะชอบความสะดวก หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น จึงหันไปซื้อหญ้าที่มีคนปลูกตัดขาย ด้วยเหตุนี้จึงมีเกษตรกรหันมาปลูกหญ้ากินนีมอมบาซา เพื่อตัดขายกันมากขึ้น และยังพบว่า มีครอบครัว
พูดถึง ต้นหญ้า หลายคนจะมองว่าเป็นพืชทีไร้ค่าไม่มีประโยชน์ สร้างความรกรุงรังใครเจอก็มักจะถอนทิ้งด้วยความฝังใจ แต่ในปัจจุบัน ต้นหญ้า ที่เห็นอยู่ทั่วๆไปนั้น ถูกหยิบขึ้นมาใช้งาน สร้างคุณประโยชน์และคุณค่า คุณสาธิต พุทธวรรักษ์ ผู้ที่หลงไหลและมีความรักในธรรมชาติ ชอบปลูกต้นไม้มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลังเรียนจบจึงออกมาประกอบธุรกิจเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับร่วมกับเพื่อน คุณสาธิต เล่าให้ฟังว่า หญ้าประดับ คือ หญ้าที่นำมาจัดสวน มีทรงพุ่มสวยงาม ใบเป็นเส้นเรียวยาว ผิวสัมผัสละเอียด ให้ความรู้สึกอ่อนช้อย เป็นต้นไม้ที่ไม่ต้องตัดแต่ง ไม่ต้องดูแล ทนความร้อนและแสงแดดได้ดี “สมัยเรียนเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันส่วนใหญ่จะมีธุรกิจรองรับเมื่อเรียนจบ ผมจึงคิดหาธุรกิจทำ ซึ่งการทำธรุกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรเป็นอะไรที่ลงทุนน้อย มีเนื้อที่อยู่ส่วนหนึ่งจึงมาปรับปรุงใช้เป็นแหล่งเพาะปลูกไม้ดอกจำหน่ายทำมาได้ระยะหนึ่งเริ่มอิ่มตัว จึงเริ่มหาไม้ใหม่ๆ ที่อยู่ได้นานกว่าไม้ดอกไม้ประดับเข้ามาปลูก และการศึกษาดูงานในต่างประเทศบวกกับการศึกษาผ่านระบบโซเชียวต่างๆ ที่มีการนำต้นหญ้านานาชนิดมาเป็นส่วนประกอบในกา
ที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่รู้จักและคุ้นเคยกับการปลูกพืชไร่ทางเลือกหลักเพียง 3 ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่จะใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ส่วนมันสำปะหลัง นำไปผลิตเป็นแป้งมัน เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และส่งออกเป็นบางส่วน สำหรับอ้อยนำไปผลิตเป็นน้ำตาลสูงได้ถึง 11.3 ล้านตัน และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ประมาณ 2.5 ล้านตัน ส่วนที่เหลือถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ ปัจจุบัน เมืองไทยมีพืชไร่ตัวเลือกใหม่ คือ “หญ้าเนเปียร์” ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของหลายฝ่ายว่า หญ้าเนเปียร์ น่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สร้างความร่ำรวยให้แก่เกษตรกรไทยได้ในอนาคต เพราะเกษตรกรสามารถขายหญ้าเนเปียร์ได้ถึง 2 ช่องทาง คือเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในกลุ่มสัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำ ได้แล้ว ยังใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมพลังงานได้อีก โดยใช้หญ้าเนเปียร์หมักร่วมกับมูลสัตว์ ทำให้เกิด “พลังงานชีวภาพ” นำไปใช้เป็นก๊าซหุงต้ม และผลิตกระแสไฟฟ้า โอกาสทางการตลาด ของ “หญ้าเนเปียร์” เมื่อเร็วๆ นี้ สภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้ร่วมกับสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย และอิมแพค เมืองทองธานี