หม่อนไหม
นางสุจารีย์ พิชา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 5 นครราชสีมา (สศท.5) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงการศึกษาแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ สินค้าหม่อนไหม เพื่อทดแทนการผลิตข้าวนาปีในพื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ภายใต้โครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้เป็นแนวทาง ปรับเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นที่มีศักยภาพ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ บริหารจัดการสินค้าสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่เพาะปลูกข้าว รวม 1,745,389 ไร่ ปลูกในพื้นที่ระดับความเหมาะสมน้อย (S3) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ร้อยละ 57 ของพื้นที่ปลูกทั้งจังหวัด จากการศึกษาของ สศท.5 พบว่า หม่อนไหมเป็นสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ มีโอกาสทางตลาดสามารถปลูกทดแทนข้าวนาปีในพื้นที่เหมาะสมน้อย (S3) และพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) เนื่องจากมีราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรทุกเดือน เพราะมีระยะเวลาการเลี้ยงต่อรุ
สานศิลป์ ภูมิปัญญา ล้ำค่ามหัศจรรย์หม่อนไหม MIRACLE OF SILK AND MULBERRY ส่งเสริมโชว์ศักยภาพการตลาดผ้าไหมและผลิตภัณฑ์หม่อนไหมดี 4 ภาค สำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เขต 1 กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำขบวนเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านหม่อนไหมร่วมส่งเสริมช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านหม่อนไหมสู่ตลาดยุคใหม่ด้านหม่อนไหม ในงานมหัศจรรย์หม่อนไหม MIRACLE OF SILK AND MULBERRY วันที่ 21-25 สิงหาคม 2567 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กรมหม่อนไหม ได้นำนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเรื่อง “การตลาดนำการผลิต” มาใช้ในการขับเคลื่อนงานหม่อนไหม โดยมุ่งเน้นสร้างมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการจำหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์หม่อนไหมดี 4 ภาค โดยรวมร้านค้าของเกษตรกรหม่อนไหม กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการหม่อนไหมจากทั่วประเทศมาจำหน่ายในงาน เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในการเพิ่มช่องทางและพื้นที่การจำหน่ายสินค้า รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายการผลิตและการตลา
กรมหม่อนไหมจับมือกรมราชทัณฑ์ ลงนาม MOU ส่งเสริมอาชีพหม่อนไหมในเรือนจำ มุ่งพัฒนาทักษะผู้ต้องขัง จาก “นักโทษ” สู่ “นักทอ” วันที่ 21 สิงหาคม 2567 พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย อธิบดีกรมหม่อนไหม ได้เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการส่งเสริมการประกอบอาชีพด้านหม่อนไหม ระหว่างกรมหม่อนไหมและกรมราชทัณฑ์ ณ ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยในนามของกรมราชทัณฑ์ นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ด้วย ในโอกาสนี้ นายพิชัย เชื้องาม ผู้อำนวยการสำนักงานหม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เขต 1 นางสาวลำแพน สารจันทึก ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง นางสาวเสาวนีย์ อภิญญานุวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ คุณธัญญาลักษณ์ พรหมมณี ที่ปรึกษากรมหม่อนไหม พร้อมด้วยผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนเจ้าหน้าที่กรมหม่อนไหมและกรมราชทัณฑ์ ได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี โดยข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ต้องขังให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพด้านหม่อนไหม ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเลี้ยงชีพหลังพ้นโทษ ทั้งนี้ กรมหม่อนไหม
“ใบหม่อน ” นอกจากจะเป็นอาหารใช้เลี้ยงหนอนไหม แปรรูปทำเป็นชาเพื่อสุขภาพแล้ว วันนี้ใบหม่อนมีแนวโน้มสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงสุกรได้ โดยกรมหม่อนไหม และกรมปศุสัตว์ได้ร่วมกันศึกษาวิจัย เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง เป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ มีการนำหญ้าเนเปียร์ผสมกับอาหารข้น แต่การปลูกหญ้าเนเปียร์ ต้องใช้น้ำมาก ซึ่งช่วงหน้าแล้ง 2-3 ปี บ้านเราเจอวิกฤตแล้งขาดแคลนน้ำมาตลอด การทดลองเอาใบหม่อนที่ปลูก มาทดลองใช้เป็นอาหารเลี้ยงหมูจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ จะเป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อน และลดต้นทุนอาหารสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ สระบุรี ได้ทดสอบโดยใช้วิธีแบ่งสุกรขุน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สุกรคอกที่ 1 ให้อาหารข้นล้วน สุกรคอกที่ 2 ใช้อาหารข้นผสมกับหญ้าเนเปียร์ และสุกรคอกที่ 3 เลี้ยงด้วยอาหารข้น ผสมใบหม่อนสับละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์ ปรากฎว่า แม้เจอสภาพอากาศทั่วไปร้อนมากถึง 40 องศา แต่กลับพบว่าสุกรที่เลี้ยงด้วยใบหม่อนผสมอาหารข้น มีอาการเหนื่อยหอบน้อย ซึ่
พะเยา เป็นจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมทั้งขนบธรรมเนียมและประเพณี ตลอดจนการผลิตสินค้าพื้นบ้าน ที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภค ซึ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับชุมชนและจังหวัดพะเยา เป็นอย่างดี ที่หมู่บ้านวังขอนแดง หมู่ที่ 11 ตำบลห้วยลาน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นหมู่บ้าน อนุรักษ์ไหมไทยพื้นบ้าน ผลิตเส้นไหม-ผ้าไหม แบบ Handmade (ทอมือ) หนึ่งเดียวของพะเยา นำออกสู่ตลาด ทั้งในและนอกจังหวัด ตลอดจนต่างประเทศ จนได้รับความเชื่อถือว่าเป็นสินค้ามีคุณภาพและสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดพะเยา…เส้นใยซึ่งนำมาใช้ทอผ้าไหมนั้น เป็นเส้นใยที่ได้จากรังของหนอนไหม หนอนไหมเป็นตัวอ่อนของผีเสื้อชนิดหนึ่ง หลังจากผีเสื้อวางไข่ได้ 10 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวหนอน เรียกว่า “หนอนไหม”, “รังไหม” ในระยะแรกที่ออกมาจากไข่ หนอนไหมมีขนาดเล็ก กินใบหม่อนเป็นอาหาร แต่ก็เจริญเติบโตได้เร็วมาก หนอนไหมจึงต้องลอกคราบเป็นระยะไป เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จึงหยุดลอกคราบ หยุดกินอาหาร แล้วเริ่มทำรัง โดยพ่นของเหลวชนิดหนึ่งออกมาทางปาก เมื่อของเหลวนี้ถูกกับอากาศจะแข็งตัว เป็นเส้นไหมพันซ้อนกันเป็นชั้นๆ ห
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการประเมินโครงการธนาคารหม่อนไหม ปี 2561 ซึ่งโครงการดังกล่าว กรมหม่อนไหมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ มีวัตถุประสงค์โครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต สร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร และลดต้นทุนการผลิต โดยกลุ่มเกษตรกรมีแหล่งให้ยืมหรือแลกเปลี่ยนปัจจัยการผลิตด้านหม่อนไหม และให้ชุมชนมีแหล่งเส้นไหมที่มีคุณภาพดีสำหรับทอผ้าอย่างเพียงพอ กำหนดพื้นที่เป้าหมายธนาคารหม่อนไหมในปี 2561 จำนวน 11 แห่ง 11 จังหวัด ได้แก่ พะเยา กำแพงเพชร อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มุกดาหาร สุรินทร์ บุรีรัมย์ เลย อุบลราชธานี และศรีสะเกษ เกษตรกรสมาชิกเป้าหมายจำนวน 445 ราย ระยะเวลาดำเนินโครงการเดือนตุลาคม 2561 – กันยายน 2562 การดำเนินโครงการ มีการคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่ขาดแคลนเส้นไหมคุณภาพดี และเป็นกลุ่มที่มีความพร้อม โดยการจัดเวทีชุมชน เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในการคัดเลือกคณะกรรมการเพื่อบริหารจัดการธนาคาร โดยกรมหม่อนไหมเป็นผู้สนับสนุนเส้นไหม วัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยการผลิต ให้กับธนาคารตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกรเอง และจากกา
กรมหม่อนไหมเปิดแผนขับเคลื่อนงานปี 61 มุ่งสร้างเกษตรกร-บุคลากรมืออาชีพ รองรับ การแข่งขันเกษตร 4.0 พร้อมพัฒนาการบริหารจัดการสินค้าหม่อนไหมครบวงจร บูรณการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ยกระดับสินค้าคุณภาพมาตรฐานป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ นางสุดารัตน์ วัชรคุปต์ เหล่าวิชยา อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยถึงทิศทางขับเคลื่อนการดำเนินงานของ กรมหม่อนไหมในปีงบประมาณ 2561 ว่า กรมหม่อนไหมมีแผนเร่งขับเคลื่อนขยายผลและสานต่อการพัฒนาสินค้าหม่อนไหมของไทยให้สอดรับกับนโยบายของพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำหนดเป้าหมายให้ปี 2561 เป็น “ปีแห่งการยกระดับคน การบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่เกษตร 4.0” รวมถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ดังนั้น กรมหม่อนไหม จึงได้ กำหนดทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 ให้เป็น “ ปีแห่งการยกระดับเกษตรกร และบุคลากรด้านหม่อนไหม การบริหารจัดการ มาตรฐานหม่อนไหม รองรับเกษตร 4.0” โดยจะพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและบุคลากรด้านหม่อนไหมให้เป็นมืออาชีพ เพื่อรองรับการแข่งขันยุคเกษตร 4.0 รวมทั้งยกระดับผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้เป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ (Smart Farmer) เน้นส่งเสริมการเรี
เนื่องจากคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์สีย้อมสังเคราะห์ 5 ชนิด ได้แก่ สีไดเร็กต์ สีรีแอกทีฟ สีแวต สีซัลเฟอร์ และสีแอซิด ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 29 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้นำเข้าสีย้อมสังเคราะห์ดังกล่าว ต้องยื่นขออนุญาตเพื่อยืนยันว่า สีย้อมสังเคราะห์เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งกรณีนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ผลิตสิ่งทอและย้อมสีเส้นใย รวมถึงการย้อมสีเส้นไหมด้วย ดังนั้น กรมหม่อนไหม จึงได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยเข้ามาเรียนรู้การย้อมสีธรรมชาติ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ย้อมสี” เพื่อเพิ่มทางเลือกในการย้อมเส้นไหมด้วยวัสดุธรรมชาติ ซึ่งให้สีสันสวยงามสุดคลาสสิก เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพไม่แพ้การย้อมสีสังเคราะห์ ที่สำคัญยังมีความปลอดภัยสูงและช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย ปัจจุบันกรมหม่อนไหมมีศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ย้อมสี จำนวน 15 ศูนย์ทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ศมม.) แพร่ ตาก อุดรธานี หนองคาย สก