อาหารญี่ปุ่น
ธุรกิจอาหารฟื้นตัว “อาหารญี่ปุ่น” หนึ่งในอาหารที่ได้รับความนิยมก็กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ไม่เพียง ซูชิ ซาซิมิ แต่ยังมีร้านแนวโอมากาเสะ ที่กลับมาดังกระฉูด ซึ่งทำให้ อาหารญี่ปุ่น อยู่ในความสนใจของคนไทยตลอดเวลา แม็คโคร จึงร่วมกับสถานทูตญี่ปุ่น จัดเทศกาลอาหารญี่ปุ่น “Taste of Japan” ขนทัพสินค้ายอดนิยมที่อยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการร้านอาหารและลูกค้าที่ชื่นชอบมาให้เลือกสรรมากกว่า 300 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง และอาหารแช่แข็ง ไม่ว่าจะเป็น ข้าวญี่ปุ่น โชยุ วาซาบิ น้ำซุปชาบู ไข่ปลาแซลม่อนปรุงรส ไข่ปลาปรุงรส (Ebiko) ปลาซาบะแล่ปรุงรส ยำสาหร่าย เต้าเจี๊ยวบด เต้าหู้ห่อข้าวปรุงรส ไข่ปลาเมนไทโกะ สาหร่ายวากาเมะดองเกลือ หมึกดองปรุงรส รวมถึงซอสสำเร็จรูป อย่าง แกงกะหรี่ น้ำซุปสุกี้ ก็กำลังมาแรงใช่ย่อย นอกจากนี้ ยังมีซีฟู้ด กลุ่มซูชิท็อปปิ้ง อาทิ แซลมอนสไลด์ ซาบะสไลด์ หมึกกล้วยสไลด์ กุ้งซูชิ ผ่าผีเสื้อ รวมถึง กลุ่มเนื้อวากิว คุณภาพพรีเมียม (ระดับไขมันแทรก A5) ที่ฮอตฮิตในหมู่นัก ชิมมากๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ มันหวานญี่ปุ่น ที่ยังเป็นไอเท็มเด็ดของแม็คโครที่ลูกค้าทุกคนคุ้นเคย ไม่เพียงเท่านั้น ในสาขาป
“มิโสะ” (Miso) เป็นอาหารหมักที่ทำจากถั่วเหลืองร่วมกับเกลือผ่านกระบวนการหมักโดยเชื้อราในกลุ่มแอสเปอร์จิลรัส ออไรเซ่ (Aspergillusoryzase) หรืออาจจะใช้หลายสายพันธุ์ ร่วมกัน เช่น แอสเปอร์จิลรัส โซแย่ (A.soyae) และอาจใช้ยีสต์ร่วมด้วย ปกติมักบ่มในถังไม้นาน ประมาณ 1-3 ปี โดยตลอดระยะเวลาที่บ่มสามารถเติมส่วนผสมอื่นลงไปได้จึงทำให้มิโสะมีสี รสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป มิโสะมีหลายสี อาทิ สีขาวครีม น้ำตาลแดง ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม คุณพิมพ์วลัญช์ พินธ์ประภา เจ้าของกิจการร้านอาหารเฮือนคำ ถนนศิริธร ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า “มิโสะ” มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว โดยใช้เป็นเครื่องปรุงรสให้แก่อาหารประเภทต่างๆ และนำเข้าในประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นชาวญี่ปุ่นได้ทำการปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ของเชื้อราที่ใช้ในการหมักกระบวนการผลิตตลอดจนการปรุงแต่งรสเรื่อยมา ทำให้มิโสะมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งต้นกำเนิดมากจากแถบเกียวโต โดยมีสีค่อนข้างขาว มิโสะ จัดได้ว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุอาหาร โปรตีน เหล็ก และโพแทสเซียม ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและที่สำค
BBCไทย – ปลาปักเป้าที่มีพิษร้ายแรงถึงชีวิต กลับเป็นอาหารจานโปรดที่มีราคาแพงในญี่ปุ่นและหลายประเทศในเอเชียตะวันออก ซึ่งจะต้องปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่รู้จักวิธีนำพิษออกและมีใบอนุญาตโดยเฉพาะเท่านั้น แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังคงมีผู้ถูกพิษจากการรับประทานเนื้อปลาปักเป้าอยู่ไม่น้อย ความต้องการลิ้มรสเนื้อปลาปักเป้าที่แสนอร่อย ต้องถูกขัดขวางด้วยความเสี่ยงสัมผัสพิษ Tetrodotoxin ที่มีอยู่ในตับ รังไข่ ลูกตา และหนังปลา จนหลายคนรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะกินปลาชนิดนี้ แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทงของจีน และมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของสหราชอาณาจักร สามารถค้นพบและสกัดสารให้รสอร่อยหรือ “อูมามิ” ในเนื้อปลาปักเป้าออกมาได้แล้ว ซึ่งในอนาคตจะใช้เป็นต้นแบบในการสังเคราะห์สารให้รสปลาปักเป้า เพื่อนำไปปรุงอาหารที่รับประทานได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงถูกพิษร้ายแรงกันอีกต่อไป ทีมนักวิทยาศาสตร์มองหาสารประกอบที่ให้รสอูมามิในปลาปักเป้าสายพันธุ์ Takifugu obscurus ซึ่งพบได้ทั่วไปในแถบทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ โดยบดเนื้อเยื่อส่วนกล้ามเนื้อของปลาให้ละเอียด ทำให้สุกก่อนนำไปกรองแล