เพลี้ย
ปลูกพืชมักจะมีปัญหาเพลี้ยมากวนใจ เพลี้ยลง ซึ่งพบได้ในพืชหลายชนิด มักจะคอยดูดน้ำหวานของพืช หากพบเพลี้ยอยู่ต้องรีบกำจัดอาจส่งผลร้ายแรงต่อพืช เนื่องจากเพลี้ยจะใช้ปากอันแหลมคมที่มีขนาดเล็ก ดูดและทำลายท่อเลี้ยงของพืช ทำให้พืชอ่อนแอ ขาดธาตุอาหารไปเลี้ยง หากปล่อยไว้กิ่งจะแห้งตายและไม่สามารถแตกใบใหม่ได้อีก วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้าน มีสูตรกำจัดเพลี้ย ปลอดภัยไร้สารเคมี สามารถทำตามกันได้ง่ายๆ ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีหลากหลายสูตรที่ไล่เพลี้ยแบบธรรมชาติ ลองนำสูตรสมุนไพรสูตรนี้ไปลองใช้กันดูได้เลย ส่วนผสม เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ข่าแก่ 1 กำมือ ยาเส้นประมาณ 2 กำมือ วิธีทำ นำข่าหั่นแว่น 1 กำมือ ใส่หม้อต้มไว้ เติมน้ำแค่พอท่วมข่า ใส่ยาเส้นตามลงไป 2 กำมือ กดให้จมน้ำ ต้มทิ้งไว้จนเดือด 10-15 นาที ให้มีสีน้ำตาลและกลิ่นฉุน ยกลงจากเตาทิ้งไว้ให้เย็น กรองเอาแต่น้ำ ใส่ขวดสเปรย์ 7-10 ช้อนโต๊ะ น้ำยาเส้น+เกลือ+น้ำส้มสายชู+น้ำสะอาด 200 มิลลิลิตร เขย่าให้เข้ากัน ฉีดทุกส่วนของพืชที่มีเพลี้ยเป็นประจำ ในส่วนผสมของยาเส้นจะมีส่วนประกอบของสารนิโคติน นิยมนำมาใช้ไล่แมลง พวกเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไรแดง ซ
เข้าสู่ฤดูร้อน อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของพี่น้องชาวเหนือและอีสาน กับเมนู “หมกไข่จักจั่น” แต่รู้หรือไม่ว่า ไอ้ที่เราเรียกกัน หรือเข้าใจกันว่ามันคือไข่จักจั่น จริงๆ แล้วมันคือเพลี้ยต่างหากหละ มักจะพบเกาะอยู่ที่บริเวณต้นเต็ง ต้นรัง ต้นยางเหียง ทางภาคอีสานมักจะเรียกว่า “ไข่จักจั่น” แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ไข่จักจั่น แต่เป็นสัตว์ในตระกูลเพลี้ยแป้ง การที่ชาวบ้านเรียกว่าไข่จักจั่น อาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดว่าเป็นไข่ของจักจั่น ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจักจั่นเลย เพราะโดยตามธรรมชาติแล้วตัวอ่อนของจักจั่นจะอาศัยอยู่ในดิน โดยวงจรชีวิตของจักจั่นเมื่อเป็นตัวโตเต็มวัยมีปีก แล้วผสมพันธุ์แล้วจะวางไข่อยู่บริเวณกิ่งหรือโคนต้นไม้ หลังจากนั้นเมื่อไข่ที่เล็กจิ๋วฟักออกมาเป็นตัวก็จะมุดลงไปในดิน อาศัยอยู่ในรู อยู่ในดิน กินน้ำหวานจากรากไม้เป็นอาหาร บางสายพันธุ์ก็อยู่ในดินประมาณ 1 ปี บางสายพันธุ์ก็อยู่ใต้ดินประมาณ 7 ปี และบางสายพันธุ์จะอยู่ใต้ดินนานถึง 17 ปี ก่อนที่จะขึ้นมาบนดินและลอกคราบเป็นตัวจักจั่นโตเต็มวัยที่เราเห็นกัน ส่วนก้อนสีขาวๆ ที่ชาวบ้านมักจะเรียกกันว่าไข่จักจั่น ที่นำเอามาหมกนั้น จริงๆ แล
นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศแห้งแล้งขอให้เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวระยะฝักอ่อนถึงฝักแก่ เฝ้าระวังการเข้าทำลายของหนอนศัตรูพืช 2 ชนิด คือ หนอนกระทู้ผัก และ หนอนเจาะฝักถั่วมารูค่า โดยหนอนกระทู้ผักที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แทะผิวใบด้านล่าง ทำให้เหลือแต่ผิวใบด้านบน มองเห็นใบโปร่งใสคล้ายร่างแห เมื่อหนอนโตขึ้นจะแยกกลุ่มออกไปกัดกินใบ และฝักของถั่วเขียว ทำให้ผลผลิตลดลง ให้พ่นด้วยเชื้อไวรัสของหนอนกระทู้ผัก อัตรา 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1-2 ครั้ง เมื่อพบการระบาด หรือพ่นสารฆ่าแมลง แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 40 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคลอร์ฟลูอาซูรอน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อฝักถูกทำลาย 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วน หนอนเจาะฝักถั่วมารูค่า หนอนจะเจาะเข้าทำลายฝัก หรือเจาะฝักที่ติดอยู่กับใบ และกัดกินเมล็ดภายในฝัก ทำให้ผลผลิตลดลง ให้พ่นสารฆ่าแมลง ไตรอะโซฟอส 40% EC อัตรา 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% EC
เมื่อพูดถึงพริก ต้องนึกถึงความเผ็ดและสีสันที่สวยงาม ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอาหารไทยรสแซบนานาชนิด ไม่ว่าแกง ผัด หรือต้มยำกุ้งที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลก คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีว่า พริกเป็นพืชในเขตร้อนหรือกึ่งร้อนที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร และสามารถปลูกในดินได้แทบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมที่สุดคือ ดินร่วนปนทราย เพราะมีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขังหรือชื้นแฉะซึ่งจะทำให้รากเน่าและตายได้ รูปแบบการปลูกพริกในประเทศไทยมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของดิน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกแบบใด เกษตรกรจะให้ความสำคัญกับขั้นตอนการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก การให้น้ำ รวมถึงการดูแลและป้องกันโรคและแมลง การปลูกพริก การปลูกพริกในปัจจุบันสามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน เกษตรกรจะเลือกใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ดังนี้ การเพาะเมล็ดพันธุ์ในแปลง นำเมล็ดพันธุ์หว่านกระจายให้ทั่วทั้งแปลงเพาะ หรือโรยเมล็ดเป็นแถวลงไปในร่องลึก 0.6–1 เซนติเมตร ห่างกันแถวละประมาณ 10 เซนติเมตร กลบด้วยปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วหรือดินผสมละเอียด รดน้ำให้ชุ่มเสมอ คลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้งบางๆ เมื่อกล้าเริ่มงอกมีใบจริงอายุประมาณ 12–15
นายชนะ ไชยฮ้อย เกษตรจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า เนื่องจากเข้าสู่ฤดูแล้งสภาพดังกล่าวเหมาะกับการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง โดยจะทำลายมันสำปะหลังด้วยการดูดน้ำเลี้ยง แล้วปล่อยน้ำหวานทำให้เกิดราดำ ทำให้มันสำปะหลังลดการสังเคราะห์แสง เจริญเติบโตไม่เต็มที่ และในน้ำลายของเพลี้ยแป้งชนิดนี้ มีสารพิษที่ทำให้ลำต้นมันสำปะหลังมีข้อถี่ ยอดหงิกเป็นพุ่มและแห้งตาย ไม่สร้างหัว หรือสร้างหัวน้อยลง หรืออาจทำให้ต้นมันสำปะหลังตายได้ การแพร่กระจายเพลี้ยแป้งสีชมพูชนิดนี้ ส่วนใหญ่ติดไปกับท่อนพันธุ์ ซึ่งจะทำให้การแพร่ระบาดรวดเร็วขึ้น โดยได้ให้แนวทางในการควบคุมเพลี้ยแป้ง ดังนี้ แนวทางของการป้องกันเพลี้ยแป้ง 1.พื้นที่ที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง ห้ามเคลื่อนย้ายท่อนพันธุ์เพื่อไปปลูกแหล่งปลูกอื่น 2.เกษตรกรที่จะปลูกมันสำปะหลังให้เลือกท่อนพันธุ์จากแหล่งที่ไม่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง 3.ก่อนปลูกแช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีไทอะมีโทแซม 25%WG อัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร นาน 10 นาที 4. ควรปลูกต้นฤดูฝน เพื่อให้มันสำปะหลัง 5.ก่อนปลูกควรไถและพรวนดินหลายครั้ง และตากดินอย่างน้อย 14 วัน แนวทางของการเฝ้าระวัง หมั่นสำรว