เลี้ยงปลากระชัง
“อาชีพประมง” เป็นอาชีพที่จับสัตว์น้ำหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำประมงนั้นสามารถทำได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกอาชีพของคนไทยที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล อาชีพประมงจะมีมากบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการทำประมงน้ำเค็ม ส่วนการทำประมงน้ำจืดนั้นจะมีอยู่ทั่วไปตามพื้นที่ที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งจะพบมากบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสายสำคัญของคนไทยที่ไหลผ่านหลายจังหวัดด้วยกัน การทำประมงน้ำจืดส่วนมากที่พบบริเวณริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งปลาที่เพาะเลี้ยงก็จะเป็นปลาเศรษฐกิจของไทย อย่างเช่น ปลานิล ปลาทับทิม ปลาดุกบิ๊กอุย ฯลฯ คุณพะเยาว์ และ คุณประมวล รุ่งทอง สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นเกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองเป็นเกษตรหัวไวใจสู้พร้อมที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ กล้าที่จะทดลองและรับแนวทางการส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตร ปัจจุบันทั้งสองมีอาชีพเพาะเลี้ยงปลาในกระชังบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คุณประมวล (ภรรยา
คุณนพดล สุขเลิศธรรมกุล อยู่บ้านเลขที่ 83/3 หมู่ที่ 10 ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ยึดการเลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำท่าจีนเป็นอาชีพหลักให้กับครอบครัว ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูน้ำหลาก และสภาพอากาศตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนชำนาญ ทำให้การเลี้ยงปลากระชังของเขาสามารถทำให้เกิดรายได้ ซึ่งการจะทำให้เป็นอาชีพที่ยืนยาวได้นั้น ต้องมีการปรับตัวในการทำอยู่เสมอ คุณนพดล เล่าว่า เดิมทีไม่ได้ยึดอาชีพทางด้านการประมงเลย ทำอาชีพเป็นเจ้าของกิจการเกี่ยวกับรถบรรทุก ต่อมาได้ล้มเลิกกิจการไป จึงได้มองหาอาชีพใหม่นั้นก็คือการเลี้ยงปลาในกระชัง เพราะเห็นเพื่อนบ้านในละแวกนั้นเลี้ยงแล้วประสบผลสำเร็จ จึงทำให้ได้มาทดลองเลี้ยงปลากระชังในเวลาต่อมา โดยปลาที่เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นปลานิลและปลาทับทิม เพราะลูกค้าในย่านนี้นิยมกินปลา 2 ชนิดนี้เป็นหลัก “ผมมาเริ่มเลี้ยงปลากระชังในช่วงปี 45 ตอนนั้นก็มาลองผิดลองถูกเอง เลี้ยงมาเรื่อยๆ ก็ถือว่าพอไปได้ เมื่อมีการตลาดแน่นอนก็เริ่มขยายการเลี้ยงมาตลอด ซึ่งตอนนี้เลี้ยงปลาอยู่ประมาณ 65 กระชัง มีการวางแผนจับแบบหมุนเวียนให้ได้ตลอดทั้งปี ก็จะ
ผลจากการเรียนจบมาทางด้านสัตวแพทย์ ก็ทำให้ น.สพ.ตุลา ตรงเมธีรัตน์ เข้าใกล้ชิดสัตว์บางชนิดมากขึ้น ไม่เฉพาะแค่ระบบร่างกายของสัตว์ชนิดนั้น แต่กลับเป็นเรื่องของการจัดการระบบการเลี้ยง การดูแล การส่งเสริม รวมถึงการขาย น.สพ.ตุลา ตรงเมธีรัตน์ เป็นคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบทางด้านสัตวแพทย์ แต่ไม่เปิดคลินิกรักษาสัตว์ กลับเข้าทำงานในบริษัทเอกชน ที่ให้บริการส่งเสริมการเลี้ยงปลาครบวงจร ในตำแหน่งนักวิชาการของบริษัท ทำให้รู้และเข้าใจระบบการเลี้ยงปลาอย่างถูกวิธี จึงมีแนวคิดทำอาชีพอิสระด้วยการเลี้ยงปลากระชัง ตามความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่มี “แหล่งน้ำสำหรับเลี้ยงปลา เป็นประการสำคัญประการแรกที่ควรคำนึงถึง” น.สพ.ตุลา บอก การเลี้ยงปลาที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่สนใจต้องการเลี้ยงปลา หรือมือใหม่ที่เริ่มก้าวเข้ามาเป็นเกษตรกรเลี้ยงปลา ควรเลือกแหล่งเลี้ยงที่เหมาะสม เพราะเป็นประการสำคัญที่มีปัจจัยต่อความเสียหายของการเลี้ยงอย่างมาก น.สพ.ตุลา เลือกลำน้ำพอง เป็นแหล่งเริ่มเลี้ยงปลากระชัง และเลือกปลานิล ปลาทับทิม เพราะเห็นว่าเป็นปลาที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วไปในท้องตลาด ซื้อ-ขายง่าย และระยะเวลาการเลี้ยงต่อรอบจับจำหน่ายไม่ได้
ผลจากการเรียนจบมาทางด้านสัตวแพทย์ ก็ทำให้ น.สพ. ตุลา ตรงเมธีรัตน์ เข้าใกล้ชิดสัตว์บางชนิดมากขึ้น ไม่เฉพาะแค่ระบบร่างกายของสัตว์ชนิดนั้น แต่กลับเป็นเรื่องของการจัดการระบบการเลี้ยง การดูแล การส่งเสริม รวมถึงการขาย น.สพ. ตุลา ตรงเมธีรัตน์ เป็นคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบทางด้านสัตวแพทย์ แต่ไม่เปิดคลินิกรักษาสัตว์ กลับเข้าทำงานในบริษัทเอกชน ที่ให้บริการส่งเสริมการเลี้ยงปลาครบวงจร ในตำแหน่งนักวิชาการของบริษัท ทำให้รู้และเข้าใจระบบการเลี้ยงปลาอย่างถูกวิธี จึงมีแนวคิดทำอาชีพอิสระด้วยการเลี้ยงปลากระชัง ตามความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่มี “แหล่งน้ำสำหรับเลี้ยงปลา เป็นประการสำคัญประการแรกที่ควรคำนึงถึง” น.สพ. ตุลา บอก การเลี้ยงปลาที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่สนใจต้องการเลี้ยงปลา หรือมือใหม่ที่เริ่มก้าวเข้ามาเป็นเกษตรกรเลี้ยงปลา ควรเลือกแหล่งเลี้ยงที่เหมาะสม เพราะเป็นประการสำคัญที่มีปัจจัยต่อความเสียหายของการเลี้ยงอย่างมาก น.สพ. ตุลา เลือกลำน้ำพอง เป็นแหล่งเริ่มเลี้ยงปลากระชัง และเลือกปลานิล ปลาทับทิม เพราะเห็นว่าเป็นปลาที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วไปในท้องตลาด ซื้อ-ขายง่าย และระยะเวลาการเลี้ยงต่อรอบจับจำหน่ายไม
จากกรณีที่เขื่อนวชิราลงกรณ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้ทำการระบายน้ำออกจากเขื่อนลงสู่แม่น้ำแควน้อย มาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม จากเดิมระบายน้ำอยู่ที่ 23 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพิ่มเป็น 28 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และ 31 ล้านลูกบาศก์ต่อวัน จนล่าสุดอยู่ที่ 43 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดของการระบายน้ำ ทั้งนี้เพื่อให้ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ ซึ่งการระบายน้ำดังกล่าวนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขื่อนวชิราลงกรณ ได้แจ้งเตือนผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ท รวมทั้งประชาชนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงปลากระชัง ให้ทราบมาโดยตลอด และที่ผ่านมายังไม่มีรายงานความเสียหายแต่อย่างใด ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายธนพล แก้วดอนหวาย อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 / 12 หมู่ 3 ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ว่ากระชังปลาได้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำเสียหายทั้งหมด ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 10 ล้านบาท โดยนายธนพล กล่าวว่า ตนมีกระชังปลาทั้งหมด 96 กระชัง เมื่อประมาณวันที่ 24 กรกฎาคมตนได้รับหนังสือแจ้งเตือนว่า เขื่อนวชิราลงกรณ จะทำการระบายน้ำ ลงสู่แม่น้