เลี้ยงหมู
“แก้จน พ้นหนี้ วิถีคนเซกา” สโลแกนเด่นของสหกรณ์การเกษตรเซกา จำกัด อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ภายใต้โครงการส่งเสริมอาชีพแก้หนี้แก้จนของคนสหกรณ์ ถือเป็นสหกรณ์ต้นแบบในการดูแลส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิก จนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรในพื้นที่ได้ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้ได้รับคัดเลือกจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้เป็นผลงานดีเด่นเพื่อเสนอเข้ารับรางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ปี 2565 ประเภทร่วมใจแก้จนอีกด้วย คุณนิ่มนวล ศรีรักษา ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเซกา จำกัด เปิดเผยว่า แต่ก่อนสหกรณ์ได้ดำเนินธุรกิจปล่อยเงินกู้ให้กับสมาชิกเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้เกิดภาวะหนี้ค้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสมาชิกไม่มีเงินส่งคืนสหกรณ์ แต่หลังจากมีโครงการนี้ขึ้นมา ทำให้สหกรณ์มีภาวะหนี้ค้างลดลง จากเดิมที่มีหนี้ค้างจำนวน 58 ล้านบาท ขณะนี้คงเหลือยอดหนี้ค้างเพียง 20 ล้านบาท ทั้งนี้ การเกิดหนี้ค้างดังกล่าวเป็นผลมาจากการเกิดวิกฤตราคายางพาราตกต่ำเมื่อปี 2559 ทำให้สมาชิกไม่สามารถชำระเงินคืนได้ จึงเป็นที่มาของโครงการดังกล่าว “ชาวเซกาส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือทำสวนยางพารา แต่พอมีปัญห
ปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่เบื่อกับสถานการณ์รถติดในเมืองหลวงไม่น้อย จนทำให้สภาพจิตใจตึงเครียดด้วยระยะเวลาที่ต้องเร่งรีบ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วความสุขที่มีอาจจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ก็มีอีกหลายๆ คนที่หมดใจที่จะประกอบอาชีพอยู่ในเมืองหลวง หันหลังและเดินหน้ากลับสู่บ้านเกิดเพื่อประกอบอาชีพในถิ่นฐานเดิม และสืบทอดกิจการของครอบครัวที่ทำมาอยู่เดิม จนขยับขยายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตมากขึ้นก็มี คุณสมหวัง สุทนต์ อยู่บ้านเลขที่ 68 หมู่ที่ 2 ตำบลอบทม อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่หันหลังให้กับเมืองกรุง กลับมาทำอาชีพเลี้ยงหมูที่เดิมทีเป็นอาชีพเสริมของครอบครัว โดยที่เขามาเริ่มทำอย่างจริงจังจนเป็นงานที่สร้างเงินได้เป็นอย่างดี จากลูกจ้างในเมืองกรุง สู่ชีวิตเกษตรกรที่บ้านเกิด คุณสมหวัง เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อทำไปได้สักระยะรู้สึกไม่ค่อยชอบงานทางด้านนี้ ด้วยเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง จึงทำให้ตัดสินใจที่จะออกมาประกอบอาชีพอยู่ที่บ้านเกิดคือ จังหวัดอ่างทอง “ช่วงนั้นที่ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ บอกตามตรงว่าก็เหนื่อยพอสมควร และมิหนำซ้ำยังโดนโกงค่าแรงด้ว
นายสุรชัย สุทธิธรรม สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ราคาสุกรตกต่ำทั่วประเทศ ซึ่งเกิดจากการที่เกษตรกรขยายแม่พันธุ์สุกรเกินปริมาณที่จำเป็นจากปกติที่ทั่วประเทศควรมีแม่พันธุ์ไม่เกิน 1 ล้านตัว แต่ขณะนี้คาดว่ามีมากถึง 115,0000 ตัว โดยในแม่พันธุ์ 1 ตัวสามารถให้ลูกได้ถึง 20 ตัวต่อปี ส่งผลให้ขณะนี้มีลูกสุกรเกิดมามากถึง 2-3 ล้านตัว จากเดิมที่มีประมาณ 1 ล้านตัวเท่านั้น สาเหตุที่มีแม่พันธุ์เกินความต้องการ เป็นเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาราคาสุกรค่อนข้างดีและมีเสถียรภาพทำให้เกษตรกรขยายฟาร์มและแม่พันธุ์ออกไปเรื่อยๆ ทำให้ราคาจำหน่ายสุกรหน้าฟาร์มต่อกิโลกรัม (ก.ก.) ตกต่ำโดยราคาสุกรหน้าฟาร์มภาคตะวันตก ราคา 46-47 บาท ตะวันออก 50 บาท อีสาน 49 บาท เหนือ 54 บาท ใต้ 52 บาทเท่านั้น จากที่เคยจำหน่ายได้เฉลี่ยก.ก.ละ 65 บาท เท่ากับว่าขาดทุนเฉลี่ยถึงตัวละ 1,500 บาท และคาดว่าจะยังคงราคานี้ต่อไปอีกสักระยะ จนกว่าแผนการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรจะได้ผล โดยขณะนี้ทางสมาคมอยู่ระหว่างการลดจำนวนแม่พันธุ์ทั้งประเทศด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรณรงค์ให้มีการบริโภคสุกรมากขึ้นเช่นการทำหมูหันเพื่อลดแม่พันธุ์ กิจกรรมจำหน่าย เนื
ในภาวะที่หมูราคาตกต่ำ ราคาขายหน้าฟาร์มเหลือเพียงกิโลกรัมละ 43 บาท จากเมื่อก่อนราคากิโลกรัมละ 63 บาท เกษตรกรผู้เลี้ยงต้องเจอภาวะขาดทุนตัวละ 800-1,000 บาท และนอกจากขาดทุนแล้วเกษตรกรยังต้องเผชิญกับภาวะกดดันจากการแทรกแซงการตลาดของนายทุนใหญ่ที่เข้ามาครองตลาดไปกว่าครึ่ง ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยต้องยอมแพ้ปิดกิจการ สาบสูญกันไปตามๆ กัน จะอยู่ได้ก็แต่เพียงเกษตรที่สืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น มีเงินทุนหมุนเวียนที่ดี ทำกันเองเป็นอุตสาหกรรมครอบครัวเพื่อลดต้นทุน หากจะหาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายใหม่หาได้ยาก หรืออาจหาไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่เห็นตอนนี้ก็จะมีแต่ทุบเล้าหมูทิ้ง ขายกระเบื้องขายที่ เอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอย่างอื่น แต่อย่างไรผู้คนในประเทศก็ยังต้องบริโภคหมูเป็นอาหารหลัก เกษตรกรผู้เลี้ยงก็ต้องสู้กันไป และควรสู้อย่างไรให้อยู่รอดพ้นวิกฤตไปให้ได้ คุณสุพรชัย จันธนะตระกูล บ้านเลขที่ 156 หมู่ที่ 7 ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู เล่าว่า ตนเกิดมาในครอบครัวที่ทำกิจการฟาร์มหมูมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ รุ่นแม่แล้ว โตขึ้นรู้เรื่องก็ต้องช่วยพ่อแม่เลี้ยงหมู ดังนั้น หากจะให้ไปทำอาชีพอ
นางชิน ใจเย็น อดีตรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา กล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มมีพ่อค้านำลูกหมูมาเร่ขายตามหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้ประชาชนหันกลับมาใช้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอีกครั้ง คือการเลี้ยงหมูในครัวเรือนสำหรับไว้ขาย หรือไว้ทำเป็นอาหาร ซึ่งการเลี้ยงแบบพื้นบ้านทั่วไปตามท้องถิ่นจะเลี้ยงด้วยรูปแบบง่ายๆ พืชหรือผลไม้สามารถนำมาทำเป็นอาหารหมูได้ ช่วยให้ประหยัดต้นทุนค่าอาหาร ที่สำคัญหมูที่เลี้ยงจะมีไขมันน้อยกว่าหมูฟาร์ม อดีตรองประธานสภากล่าวต่อว่า การเลี้ยงหมูแบบพื้นบ้านช่วยสร้างรายได้แก่ผู้เลี้ยง เพราะหากหมูโตเต็มที่สามารถส่งขายมีรายได้เสริมเข้าครอบครัว เมื่อถึงเวลาที่หมูราคาถูกก็นำมาชำแหละแบ่งกองขายในรูปแบบของท้องถิ่นนั้นๆ ทำให้เพื่อนบ้านได้กินเนื้อหมูในราคาไม่แพง และคนเลี้ยงหมูก็อยู่ได้ ไม่ต้องแบกรับภาระขาดทุน ที่สำคัญการเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัว คือวิถีชีวิตความพอเพียงที่แท้จริง ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ถ่ายทอดเคล็ดลับการเลี้ยงสัตว์ด้วยหลักการ 5 หัวใจการผลิต พันธุ์ดี-อาหารดี-โรงเรือนดี-การจัดการดี-ป้องกันโรคเข้มงวด ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทุกประเภทสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้ได้ผลผลิตสัตว์ที่ปลอดโรคและปลอดภัย สู่ผู้บริโภค น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิตสัตว์ตลอดห่วงโซ่ เพื่อให้ได้ผลผลิตสัตว์ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดสาร ปลอดภัย และปลอดจากโรคระบาด โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับ 5 หัวใจของการเลี้ยงสัตว์ นับตั้งแต่ การพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์สัตว์ โดยทีมงานนักวิชาการด้านปรับปรุงพันธุ์ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ขณะเดียวกันสัตว์ต้องได้รับอาหารที่ดี จากการที่คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารสัตว์ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสูตรอาหารสำหรับสุกรและไก่ พร้อมคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีผ่านการตรวจสอบว่าปลอดภัย ทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพมาตรฐานสม่ำเสมอ และตรงกับความต้องการของสัตว์ในแต่ละช่วงอายุ ควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนและอุปกรณ์ที่ดี ภายใต้เทคโนโลยีโรงเรือนปิดระบบปรับอ
“ไทยแลนด์ 4.0” เป็นโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยยุคปัจจุบัน โดยหนึ่งในภารกิจที่สำคัญคือการผลักดันให้เกษตรกรเป็นพระเอกตัวจริงที่จะช่วยพัฒนาชาติ ด้วยการรร่วมกันปฏิรูปภาคเกษตรสู่ “เกษตร 4.0” อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์บ้านเรานั้นถือว่าเป็นแถวหน้าของเกษตร 4.0 เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์และเกษตรกรต่างหันมาใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ของไทยให้ก้าวหน้า ดังเช่น วรากร ถีสูงเนิน วัย 30 ปี เจ้าของ “ฟาร์มวรากร” ต.แก่งโดม อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี ฟาร์มหมูขุนต้นแบบและเป็นตัวอย่างเกษตรกรยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์ด้วยเทคโนโลยี ที่นอกจากจะช่วยให้มีมาตรฐานการผลิตตามหลักสากลแล้ว ผลผลิตสัตว์ที่ได้ยังมีคุณภาพ ได้เนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยอีกด้วย วรากร เล่าในระหว่างที่นำชมกระบวนการเลี้ยงหมูว่า ก่อนจะมาเลี้ยงหมูเคยเป็นนักบัญชีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำงานมาได้สักระยะก็เริ่มค้นหาความชอบของตัวเองและมีแนวคิดที่อยากจะทำธุรกิจของตัวเอง เขาพบว่าตัวเองชอบงานด้านการเกษตรมาตั้งแต่เด็กๆ จึงได้ลองศึกษาเรื่องการเลี้ยงหมูในรูปแบบโครงการฝากเลี้ยง หรือโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรายย่อ