โรคหัวใจ
จากรายงานของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ปัจจุบัน มีผู้ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-5 สูงถึงกว่า 1,000,000 ราย ซึ่งผู้ป่วยโรคไตนั้น จะต้องลดอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมและโพแทสเซียม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน ที่ผ่านมาสถาบันโภชนาการหลายแห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ มีความพยายามที่จะใช้นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และโภชนาการในการลดปริมาณโซเดียมและโพแทสเซียมที่ผู้ป่วยได้รับให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม หากแต่ในอาหารเป็นจำนวนมากมีทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมอยู่แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเครื่องปรุงชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊ว และอาหารสำเร็จรูป จึงเป็นไปได้ยากที่ผู้ป่วยจะสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมและโพแทสเซียมได้ตามที่แพทย์กำหนด แต่ในที่สุดก็ได้มีทีมวิจัยคนไทยที่ทำการวิจัย “การผลิตน้ำปลาโซเดียมและโพแทสเซียมต่ำโดยใช้เทคโนโลยีการแยกสารผ่านเยื่อด้วยไฟฟ้า” ตั้งแต่ปี 2552 จนกระทั่งประสบสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ และได้น้ำปลาที่สามารถให้ผู้ป่วยโรคไต รวมถึงผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ที่มีความละเอียดอ่อนต่อปริมาณโซเดียมและโพแทสเซียมบริโภคได้ โดยใช้ระยะเวลาในการคิดค้นและพัฒนานานก
จากคอลัมน์ “พืชใกล้ตัว” โดย ภก.ณัฐดนัย มุสิกวงศ์ อภัยภูเบศรสาร ปีที่ 18 ฉบับประจำเดือนกันยายน 2563 เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า โรคหัวใจ เป็นโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มีการประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 18 ล้านรายต่อปี โดยส่วนใหญ่มาจากภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 70 ปี ผลลัพธ์นั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคมในภาพรวม ทั้งระบบเศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุปทาน ภาคการผลิต มีนักสำรวจทางโบราณคดี ได้พิสูจน์ซากมัมมี่ของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เมื่อ 3,500 ปีที่แล้ว คาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากเส้นเลือดหัวใจตีบ เพราะเจอหลักฐานว่าพบรอยโรคในเส้นเลือดแดงหลายจุดของร่างกาย รวมทั้งนักวิจัยยังกล่าวว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารของชาวอียิปต์โบราณที่นิยมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อวัว เป็ด และห่าน ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจมีหลายปัจจัยทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ เช่น ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล ปริมาณไขมันดี (HDL) การสูบบุหรี่ ระดับน้ำตาลในเลือด โรคอ้วน เป็นต้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมให้อยู่ใน
โรคหัวใจเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตทั่วโลก จำนวนผู้เสียชีวิตและป่วยโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555-2559 ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจกว่า 54,530 คน เฉลี่ยวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน อีกทั้งยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับที่สองรองจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจสามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เพราะโรคหัวใจเป็นผลมาจากโรคอื่น ๆ ที่เกิดจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด และความอ้วน นายแพทย์วิวัฒน์ แสงเลิศศิลปชัย จากศูนย์หัวใจโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า การที่อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจะทำหน้าที่ได้ดีนั้น หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอโดยไม่สะดุด ดังนั้นหากหัวใจไม่แข็งแรง การทำงานของระบบอื่น ๆ ในร่างกายก็จะสะดุดตามไปด้วย เรียกได้ว่าหัวใจเป็นศูนย์กลางของระบบอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายทั้งหมด นายแพทย์วิวัฒน์ให้ข้อมูลว่า หนึ่งในสาเหตุการเกิดโรคหัวใจคือการรับประทานอาหาร การรู้จักเลือกรับประทานอาหารเป็นเรื่องสำคัญมาก
นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า จากรายงานโดยธนาคารโลกในปี 2558 พบว่าอัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดในประเทศไทยอยู่ที่ 7 : 1,000 การเกิดมีชีพ เทียบกับประเทศมาเลเซีย 4 : 1,000 และประเทศสิงคโปร์ 1 : 1,000 การเกิดมีชีพ ขณะที่องค์การอนามัยโลกได้วางเป้าหมายให้เกิดการลดอัตราการเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ให้ได้มากกว่าร้อยละ 50 จากการศึกษาแผนพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทย พบว่าโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรงเป็นสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตในทารกแรกเกิด มีอุบัติการณ์เกิดประมาณ 8 : 1,000ของทารกเกิดมีชีพ หรือประมาณ 6,000-7,000 คนจากจำนวนทารกเกิดใหม่ปีละ 800,000 คนของประเทศไทย ในจำนวนนี้มีทารกกลุ่มหนึ่งเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่รุนแรง และมีโอกาสเสียชีวิตภายในช่วง 1 เดือนแรกของชีวิตได้ประมาณเกือบ 1,000 คนต่อปี ซึ่งส่งผลต่อความสูญเสียของครอบครัว สังคม และเศรษฐกิจของประเทศชาติ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยนายแพทย์ธนะรัตน์ ลยางกูร ที่ปรึกษาด้านโรคหัวใจได้ร่วมศึกษาปัญหาของการเสียชีวิตของทารกพบว่า การวินิจฉัยโดยอาศัยอากา
โรคใหลตายคือภัยเงียบที่ไม่อาจมองข้ามและมีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปี โรคใหลตายเป็นศัพท์ท้องถิ่น ที่เรียกอาการภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ในภาษาท้องถิ่นของภาคอีสานและภาคเหนือของไทย) ณ ตอนนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพและในเครือ ให้ความสนใจกับการวิเคราะห์ยีนที่ทำให้มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยสามารถทดสอบได้ว่า การกลายพันธุ์ของยีนสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวร่วมกับการเช็กประวัติครอบครัวของผู้เข้ารับการตรวจว่ามีอาการดังกล่าวหรือไม่ เพราะทายาทสายตรงจะสามารถรับอาการนี้แพร่ไปด้วยโดยอาศัยการกระจายตัวของยีน ดร.เจฟฟรี่ เอ โทบินส์ (Ph.D.) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาล Le Bonhuer Children’s Hospital มาให้ความรู้เกี่ยวกับอาการกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะในงานสัมมนาวิชาการของเครือ BDMS 2017 ไว้ว่า “อาการนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีสถิติผู้ป่วยเพิ่มสูงในทุกปี เนื่องจากการวินิจฉัยต้องควบคู่กัน แบ่ง 50% นั้น ยีนถูกตรวจพบชนิดที่เกิดเป็นเรื่องความผิดปกติของยีน มักพบในเด็กแรกเกิด และอีก 25% เกิดภาวะติดเชื้อหรือไวรัส ส่งผลให้ผนังของหัวใจทำงานผิดปกติ ส่วนผู้ป่วยวัยทำงานปกติจะเกิดจากยีนสูงถึง 50% ส่วนที่เหลือคือกลุ่มผู