ใบตอง
โลกของเราในปัจจุบันนี้ กำลังประสบปัญหาทางด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เราจะสังเกตได้จากสภาพอากาศที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน การเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง และ ฤดูการที่แปรปรวนภัยพิบัติเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดจากธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ที่พยายามจะแสวงหาผลประโยชน์ละพัฒนาประเทศชาติโดยไม่มีการจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติให้เกิดความสมดุล ทั้งการจักตั้งโรงงานก่อสร้าง การขุดเจาะเพื่อทำเหมือง โรงงานไฟฟ้า โรงงานผลิตพลาสติก โรงงานเหล่านี้นำความเจริญมาให้กับประเทศมาก แต่ไม่เท่ากับการทำลายธรรมชาติที่จีมผลต่อไปในระยะยาว เรากำลังขาดความนึกคิดไปว่า การพัฒนาประเทศที่แท้จริงคือการคือ การที่รามีจุดยืนเป็นของตัวเองไม่ใช้การทำตามค่านิยมของต่างชาติ เมื่อประเทศไทยคือประเทศที่มีดินดีอุดสมบูรณ์ไปด้วยอาหารและแร่ธาตุในดิน เราจึงควนเน้นการพัฒนาไปทางด้านการเกษตร เช่น การทำเกษตรอินทรีย์ การใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติให้มากและให้เกิดประโยชน์อย่างสูงที่สุดเพื่อสร้างจุดยืนให้แก่ประเทศไทย ทั้งนี้ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ในการศึกษาด้านการตลาดและการบริหารจัดการเกษตรอินท
ที่หมู่ 4 บ้านสงาว ตำบลห้วยพิชัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านทำการเกษตร และประมงจับปลาตามลำแม่น้ำโขง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขา และอยู่ติดกับแม่น้ำโขง ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกกล้วยน้ำหว้า ปลูกตามเชิงเขาและที่ราบ ปลูกกล้วยแต่ไม่ขายกล้วย ตัดแต่ใบขายตองกล้วยขายกันทั้งหมู่บ้าน สร้างรายได้แต่ละครอบครัวถึงวันละ 600-700 บาท ส่งลูกเรียนจบถึงปริญญาตรี มีพ่อค้ามารับถึงในบ้าน นางพัฒนรินทร์ แก้วเศรษฐี ชาวบ้าน หมู่ 4 บ้านสง่าว เผยว่า ตนมีอาชีพทำการเกษตร ถึงฤดูทำนาก็ทำนา แต่ว่างจากการทำนาก็ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวนหลายพันต้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านสง่าว จะหันมาปลูกกล้วยกันทั้งหมู่บ้าน และสร้างได้รายเข้าครอบครัวทุกวัน จากการขายใบกล้วย ซึ่งมีราคาแน่นอนกว่าตัดขายได้ทุกวัน ตลาดมีความต้องการมาก มีเท่าไรพ่อค้ารับซื้อหมด เนื่องจากว่า บ้านสงาว เป็นทางผ่านจากจังหวัดเลยไปจังหวัดหนองคาย และอุดรธานี ซึ่ง 2 จังหวัด มีคนทำอาชีพ ทำแหนม ทำหมูยอ และเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อของภาคอีสาน จึงต้องการใบตองกล้วย เพื่อห่อแหนมและหมูยอ เป็นจำนวนมาก “โชคดีของชาวบ้านสงาว ที่มีภูมิลำเนาเป็นที่ราบเชิงเขา ลมไม่แรง การปลูกกล้วยใบตอ
ปลูกกล้วยขายใบ ทำเงินให้ชาวบ้านเริ่มต้น 600-700 บ./วัน ที่หมู่ 4 บ้านสงาว ตำบลห้วยพิชัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านทำการเกษตร และประมงจับปลาตามลำแม่น้ำโขง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขา และอยู่ติดกับแม่น้ำโขง ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกกล้วยน้ำหว้า ปลูกตามเชิงเขา และที่ราบ ปลูกกล้วยแต่ไม่ขายกล้วย ตัดแต่ใบตองกล้วยขายกันทั้งหมู่บ้าน สร้างรายได้แต่ละครอบครัวถึงวันละ 600-700 บาท ส่งลูกเรียนจบถึงปริญญาตรี มีพ่อค้ามารับถึงในบ้าน นางพัฒนรินทร์ แก้วเศรษฐี ชาวบ้าน หมู่ 4 บ้านสง่าว เผยว่า ตนมีอาชีพทำการเกษตร ถึงฤดูทำนาก็ทำนา แต่ว่างจากการทำนาก็ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวนหลายพันต้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านสง่าว จะหันมาปลูกกล้วยกันทั้งหมู่บ้าน และสร้างได้รายเข้าครอบครัวทุกวัน จากการขายใบกล้วย ซึ่งมีราคาแน่นอนกว่าตัดขายได้ทุกวัน ตลาดมีความต้องการมาก มีเท่าไรพ่อค้ารับซื้อหมด เนื่องจากว่า บ้านสงาว เป็นทางผ่านจากจังหวัดเลยไปจังหวัดหนองคาย และอุดรธานี ซึ่ง 2 จังหวัด มีคนทำอาชีพ ทำแหนม ทำหมูยอ และเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อของภาคอีสาน จึงต้องการใบตองกล้วย เพื่อห่อแหนมและหมูยอ เป็นจำนวนมาก “โชคดีของชาวบ้านสงาว ที่มีภูมิล
คุณประภาวัลย์ วงษ์แม่น้อย หรือ คุณเม้ง อายุ 50 ปี เป็นอีกคนที่ยึดอาชีพทำข้าวต้มมัดมากว่า 10 ปี โดยเธอใช้บ้านพักชั้นเดียว เลขที่ 33/11 หมู่ที่ 3 ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งไม่มีชื่อร้านเป็นฐานสำหรับผลิตข้าวต้มมัดขาย คุณประภาวัลย์ เล่าว่า แม่ของเธอประกอบอาชีพมัดข้าวต้มมาตั้งแต่ปี 2529 ในตอนนั้นเธอรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ในตำแหน่งมัดข้าวต้ม จนกระทั่งปี 2543 เธอมารับช่วงอาชีพจากแม่ แล้วเริ่มทำอย่างจริงจังด้วยตัวเองเพียงลำพัง พร้อมไปกับการเรียนรู้ทักษะอีกหลายอย่างเพิ่มเติม คุณเม้ง บอกว่า ข้าวต้มมัดหรือข้าวต้มผัดที่เธอทำขายทุกวันนี้เป็นการใช้ข้าวเหนียวผัดแล้วใส่กะทิ ใส่น้ำตาล ตามแบบวิธีทำโบราณ ไม่เหมือนอย่างช่วงหลังที่ใช้วิธีมูนก่อนแล้วจึงนำมาห่อ เธอยกตัวอย่างการใช้วัตถุดิบและอัตราส่วนผสมในการทำข้าวต้มมัดว่า ถ้าหากใช้ข้าวเหนียวสัก 1 กิโลกรัม ควรใช้น้ำกะทิสด 6 ขีด น้ำตาลทรายครึ่งกิโลกรัม และเกลือ 1 ถุงจิ๋ว และเพื่อให้อัตราส่วนผสมได้มาตรฐาน จึงใช้วิธีชั่งตามน้ำหนักทุกครั้ง ไม่เน้นพันธุ์กล้วยและขนาด ขอให้สุกปานกลาง แม่ค้าขายข้าวต้มมัดรายเดิมแจงถึงวัตถุดิบที่ใช้ต่อว่า ใช้กล้วยน้ำว้
ตรัง – นายสิฐวิชญ์ แต้มประสิทธิ์ อาจารย์แผนก ช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพตรัง กล่าวว่า นักศึกษา 4 คน ได้แก่ นายนัทธพงศ์ อินทรขัน นายนลธวัช หัวเขา นายอากร ขำเกลี้ยง และนายเอกพงศ์ ยงประเดิม ได้ร่วมกันคิดค้นวิจัยสิ่งประดิษฐ์รุ่นใหม่ขึ้นชื่อว่า “อุปกรณ์ตัดไม่ตก” เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเกษตรกรผู้สูงอายุในเขตเทศบาลตำบลโคกหล่อ อำเภอเมืองตรัง ที่ตัดใบตองจำหน่ายให้ดียิ่งขึ้น และได้รางวัลระดับประเทศของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปกติชาวบ้านมักใช้มีดทำครัวขนาดเล็ก มัดเข้ากับปลายไม้ไผ่ เพื่อตัดใบตอง แต่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงมาก ในกรณีที่มีดหลุดตกใส่ตัวเกษตรกร ขณะที่ใบตองร่วงลงสู่พื้นดิน ทำให้ฉีกขาด หรือหัก และเสียเวลาในการเดินเก็บด้วย ส่งผลให้ราคาใบตองตกไปอยู่ที่เกรดต่ำสุด หรือเกรด C ขายได้กิโลกรัมละ 3-4 บาทเท่านั้น ดังนั้น นักศึกษาจึงได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ตัดไม่ตกขึ้น ซึ่งทำด้วยสเตนเลส หรือเหล็กกล้าไร้สนิม ยกเว้นด้ามต่อยาวประมาณ 4 เมตร ทำด้วยอลูมิเนียม ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้หนักเพียงแค่ 70 กรัม ยาว 167 เซนติเมตร และมีต้นทุนอยู่ที่ 600 บาท สามารถนำไปใช้ตัดใบตองได้ทุกชนิด โดยเฉพาะกล้ว
“เคยคิดจะเลิกส่งออกใบตอง เพราะเป็นสินค้าให้ผลตอบแทนน้อยมาก ใช้กำลังคนหลายสิบคน แต่พอย้อนกลับมาดูยอดขาย จำนวนมันเยอะ เติบโตทุกปี 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นสินค้าคู่แข่งทางการตลาดน้อย เนื่องด้วยกำไรต่ำ จึงไม่มีใครทำ แต่ตรงนี้ถือเป็นโอกาส” เปิดตลาดพืชผักผลไม้ จับจุดขายตามฤดูกาล พืช ผัก ผลไม้ของไทย อาทิ ทุเรียน กล้วย มังคุด พืชผักพื้นถิ่นและตามฤดูกาล ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ อันเป็นผลมาจากชาวไทยจำนวนมากเข้าไปพำนักและสร้างธุรกิจกันมากขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านอาหารไทย อีกทั้งในส่วนของชาวต่างชาติเองก็เริ่มให้ความสนใจอาหารไทยกันมากขึ้น “ใบตอง” แม้จะให้ผลตอบแทนด้านราคาขายต่ำ แต่ทว่ากลับทำยอดขายสูง จึงเปรียบเสมือนแม่ทัพนำพาสินค้าอื่นๆ ออกสู่ตลาด ในขณะเดียวกัน ใบตองก็เปรียบดั่งนายท้าย ช่วยปิดการขายให้ง่ายขึ้น ดร.นงนุช อธิพันธุ์อำไพ ผู้บริหารคนเก่ง แห่งบริษัท โอชาฟูดแพ็ค จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเกษตรและอาหารสู่ตลาดสากล เล่าว่า เธอคือเจเนอเรชั่น 3 ที่ก้าวเข้ามารับช่วงกิจการ โดยนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารมาเป็นแนวทางในการพัฒนา ซึ่งจุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากการปรับปรุงคุณภาพข้าวหอมมะลิระด