ใบอ้อย
บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม (สอน.) ลงนามความร่วมมือโครงการการใช้ประโยชน์ใบและยอดอ้อยเป็นเชื้อเพลิงทดแทนเพื่อลดปัญหาอ้อยไฟไหม้และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ก่อให้เกิด PM 2.5 ด้วยการรับซื้อยอดและใบอ้อย เสริมรายได้ให้เกษตรกรไทย และนำไปเป็นพลังงานทดแทนในโรงงานปูนซีเมนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ สอดคล้องกับแนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งคาดว่าจะสามารถรวบรวมเศษวัสดุเหลือใช้จากไร่อ้อยได้ประมาณ 210,000 ตัน ต่อปี พร้อมขยายจุดรับซื้อหน้าโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จซีแพคทั่วประเทศ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ปัจจุบัน ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และภาวะโลกร้อนจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางเกษตร เช่น ยอดและใบอ้อย ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการสนับสนุนและผลักดันเชิงนโยบายเพื่อลดการเผายอดและใบอ้อยในพื้นที่เพาะปลูก จังหวัดสระบุรี ก
ชาวไร่อ้อยเฮ โรงงานน้ำตาล ประกาศรับซื้อ “ใบอ้อย” ตันละ 1,000 บาท เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าชีวมวล เริ่มนำร่องแล้ว โดย “กลุ่มมิตรผล” หวังแก้ปัญหาการเผาอ้อยที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ตามแผนโรดแม็ปของรัฐบาลจะไม่มีอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานน้ำตาล ภายในปี 2565 ฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ภาครัฐต้องออกมารณรงค์แก้ปัญหา โดยหนึ่งในมาตรการที่กำหนดออกมาบังคับใช้ก็คือ ลดการเผาในที่โล่ง ส่งผลให้โรงงานน้ำตาลต้องออกมาตรการจูงใจโดยให้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับซื้ออ้อยที่ตัดสดไปจนกระทั่งถึงการประกาศรับซื้อใบอ้อยตัดสด ในราคาสูงถึงตันละ 1,000 บาท นายรังสิต เฮียงราช ผู้อำนวยการ บริษัท ไทยชูการ์มิลเลอร์ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทราย 57 โรง ซึ่งบางส่วนมีโรงไฟฟ้าชีวมวลได้เริ่มมาตรการเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย ต้นและซังข้าวโพด ด้วยการรับซื้อมาอัดเป็นก้อนเพื่อป้อนให้โรงไฟฟ้าชีวมวล โดยโรงงานน้ำตาลรายใหญ่ที่นำร่องไปแล้ว ได้แก่ “มิตรผล” เช่นกันกับทางไทยชูการ์ฯ ก็มีการดำเนินมาตรการนี้ด้วยการเป็นตัวแทนของ 3 สมา
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานสังกัดทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เป็นชุดปฏิบัติการประจำพื้นที่เพื่อออกตรวจ ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง และแจ้งเหตุการณ์เผาในพื้นที่เกษตร โดยมีเครือข่าย เกษตรกร ศพก. เป็นหน่วยเฝ้าระวังป้องกันและปลุกจิตสำนึกในการไม่เผาเศษซากพืช และวัสดุทางการเกษตร ทั้งระดับจังหวัดและอำเภอ เร่งลดผลกระทบในพื้นที่ให้มากที่สุด นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ได้กำชับให้เกษตรจังหวัดลงพื้นที่ให้ควบคุม กำกับดูแล รวมทั้งเข้มงวด ไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่การเกษตร ในความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด และเร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการเผา ผ่านเวทีการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ รวมทั้งการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (field day) ที่ทุกจังหวัดจัดอยู่ขณะนี้ พร้อมทั้งให้มีการถ่ายทอดเรื่องของเทคโนโลยีจัดการหลังการเก็บเกี่ยว โดยให้วิเคราะห์เป็นรายพืช เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างไรให้เหมาะสม และให้คำแนะนำแก่เกษตรกร ผ่านศูนย์เรียนร
ถึงแม้ประเทศไทยจะสามารถส่งออกอ้อยในรูปน้ำตาลและกากน้ำตาลได้เป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งนำเงินตราเข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาทก็ตาม ขณะเดียวกันเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย dH ก็ประสบปัญหาในเรื่องราคาอ้อยตกต่ำและมีปริมาณล้นตลาด ที่สำคัญคือ ปัญหาต้นทุนการผลิตที่ยังสูง โดยเฉพาะการขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวอ้อย ปัญหาค่าจ้างแรงงานสูง คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของต้นทุนการผลิตอ้อยทั้งหมดต่อฤดูปลูก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายพื้นที่ปลูกอ้อยและการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ ทำให้เกษตรกรบางส่วนหันมาใช้วิธีการเผาใบอ้อยทั้งก่อนการเตรียมดินและก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวอ้อย ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ของทุกปี พบว่ามีการเผาในพื้นที่ทำการเกษตรค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเผาฟางข้าวและใบอ้อย ซึ่งมีการปล่อยมลพิษ คือ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์สูงกว่าปริมาณที่ปล่อยจากโรงงานไฟฟ้าและอุตสาหกรรมถึง 14 เท่าตัว เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสภาพการเผาที่ไม่สมบูรณ์ ประกอบกับเป็นการเผาวัสดุที่มีความชื้นสูง นอกจากจะสร้างมลภาวะทางอากาศแล้ว การเผายังทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินทำให้ดินเสื่อมคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วย การเผาใบอ้อยของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจะแบ่ง
พื้นที่ที่ถูกขุดปลูกเป็นไร่อ้อย กว่า 600 ไร่ ในเขตตำบลหนองจาน อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ในความดูแลของเกษตรกรวัยกลางคน คุณศรี ปานมา อายุ 66 ปี ชาวไร่อ้อย แต่กำเนิด แม้อายุจะเลยวัยเกษียณมาแล้ว แต่คุณศรี ก็จัดว่าเป็นเกษตรกรตัวยงคนหนึ่ง ที่ตรากตรำ คร่ำเคร่งกับงานในอาชีพอย่างมั่นคง และมุ่งมั่นศึกษา พัฒนา เพื่อต่อยอด ให้การปลูกอ้อยที่ทำมาตลอดชีวิตมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น คุณศรี ไม่มีวุฒิการศึกษาใดมาประดับ อ่านและเขียนหนังสือได้ไม่มาก แต่ ณ วันนี้ รางวัลที่เป็นเครื่องการันตีว่าเกษตรกรผู้นี้มีคุณสมบัติน่ายกย่องให้เป็น “สมาร์ท ฟาร์มเมอร์” ตามหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวจริง การปลูกอ้อยที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา ของคุณศรี มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่การไม่เผาใบอ้อยในไร่เฉกเช่นเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยทั่วไป เป็นสิ่งที่คุณศรีทำมาตั้งแต่จำความได้ว่า เริ่มลงมือปลูกอ้อยทุกขั้นตอนด้วยตนเอง เหตุผลถูกอธิบายเพียงสั้นๆ ว่า ดินที่เสื่อมสภาพจากการเพาะปลูกหลายครั้ง ส่วนใหญ่เสื่อมสภาพจากการขาดธาตุไนโตรเจน ใบอ้อยที่ถูกตัดทิ้งหลังเก็บเกี่ยว เป็นใบอ้อยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง หากไถกลบไปพร้อมกับการ